ทรงเปล่งพระวาจาปรารถนาพุทธภูมิและได้รับพุทธพยากรณ์ (ตอน ๔)
.....สุรุจิพราหณ์
ในพระพุทธกาลนี้พระโพธิสัตว์ของเราเกิดในตระกูลพราหมณ์ ชื่อสุรุจิ เมื่อเห็นพระรัศมีและฟังพระธรรมเทศนา มีความเลื่อมใสศรัทธา ขอถึงพระบรมศาสดาเป็นสรณะ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งแสนโกฏิด้วยดอกไม้ของหอม พร้อมด้วยภัตตาหารมีปานะ ขนมแป้งผสมน้ำนมโคเป็นต้น ตลอด ๗ วัน พร้อมทั้งกล่าววาจาปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตเบื้องหน้าบ้าง พระมังคลสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่า สุรุจิพราหมณ์จะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอีก ๒ อสงไขยแสนกัป
สุรุจิพราหมณ์ฟังพระพุทธดำรัสแล้ว จึงถวายสมบัติทั้งหมดไว้ในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นภิกษุรูปหนึ่ง ตั้งใจศึกษาพระพุทธวจนะ ปฏิบัติธรรม ได้บรรลุอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ มีฌานไม่เสื่อม จรรโลงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองจนสิ้นชีวิต ไปบังเกิดในพรหมโลก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์แก่พระโพธิสัตว์ของเรานี้
สมัยต่อมาได้มีพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สมเด็จพระสุมนะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงอุบัติขึ้น
พระสรีระสูง ๙๐ ศอก
อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี
พระพุทธบิดาทรงพระนามว่า พระเจ้าสุทัตตะ พระพุทธมารดาทรงพระนามว่า พระนางสิริมา แห่งเมขลนคร
ทรงครองฆราวาสเสวยโลกียสุขอยู่ ๙ พันปี เมื่อพระนางวฏังสิกาพระชายาประสูติพระโอรสอนูปมะแล้ว ในวันเดียวกับที่ทรงพบเทวทูต ๔ จึงทรงช้างราชพาหนะเสดจออกมหาภิเนกษกรมณ์ มีข้าราชบริพารตามเสด็จออกบวช ๓๐ โกฎิ
ทรงใช้เวลาบำเพ็ญเพียร ๑๐ เดือน
ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือนางอนุปมา ธิดาของอโนมเศรษฐี แห่งอโนมนคร
นิสีทนสันถัต กว้าง ๓๐ ศอก ทำด้วยหญ้าคา ๘ กำมือ ถวายโดยอนุปมาชีวก ประทับนั่งใต้ต้นนาคะ (กากะทิง)
พระอัครสาวกคือ พระสรณะ และพระภาวิตัตตะ
พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระอุเทน
ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง
ครั้งแรก ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่พระภิกษุ ๓๐ โกฏิ ที่บวชตามเสด็จวางรากฐานพระศาสนา
ครั้งที่สอง ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ข่มความมัวเมาและมานะของเหล่าเดียรถีย์
ครั้งที่สาม ทรงตอบปัญหาเรื่องเข้านิโรธ มีจำนวนผู้ตรัสรู้ธรรมตาม ๙ หมื่นโกฏิ
มีสาวกสันนิบาติเกิดขึ้น ๓ ครั้ง
เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ที่พระวิหารอังคาราม พระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสูงถึง ๔ โยชน์
พญานาคอตุละ
ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพญานาคชื่อ อตุละ เมื่อได้ทราบข่าวการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ดีใจยิ่งนัก รีบพาประยูรญาติและบริวารทั้งหลายออกจากเมืองนาคาเข้าเฝ้า กระทำอธิการอันยิ่งใหญ่ ได้แก่ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสงฆ์จำนวนถึงหนึ่งแสนโกฏิ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ถวายผ้าจีวรรูปละ ๑ คู่ ขอถือพระพุทธองค์เป็นสรณะ พร้อมกล่าวคำขอเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
พระบรมศาสดาสุมนะพุทธเจ้าตรัสพุทธพยาการณ์ว่าอีก ๒ อสงไขยแสนกัป จะได้เป็นสมปรารถนา อตุลนาคราชมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พากันกลับเมืองนาค มีความปีติด้วยคำพยากรณ์จนสิ้นชีวิต
ชาตินี้พระโพธิสัตว์มิได้ออกบวชเป็นภิกษุเพราะไม่ได้กำเนิดเป็นมนุษย์ และไม่ได้บำเพ็ญเพียรเจริญภาวนา ให้ได้ฌาน อภิญญา สมาบัติ อันใด เพราะเป็นการกระทำที่ยากเกินวิสัย คงบำเพ็ญความดีอันเป็นบุญกุศลที่พอเหมาะกับอัตภาพของตน เช่น เรื่องทาน เรื่องศีล เท่านั้น
การศึกษาเล่าเรียน และการปฏิบัติตามคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ไม่เหมาะกับสัตว์ที่เกิดในภพภูมิอื่น ที่ทำได้ผลดีที่สุด มากที่สุด คือสัตว์ที่เกิดเป็นมนุษย์ เพราะมีสภาพเหมาะสมหลายประการ เช่นมีความเป็นอยู่ที่มีโอกาสพบเห็นความทุกข์ต่างๆ ทำให้เบื่อหน่ายการเกิด มีร่างกายและจิตใจเข้มแข็ง พอจะฝึกฝนอบรมตน โดยไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๕ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์
ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสรีระสูง ๘๐ ศอก มีพระรัศมีฉายออกรอบพระวรกายตลอดเวลา ๑ โยชน์ ทั้งกลางวันกลางคืน
อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ๖ หมื่นปี
ทรงเป็นพระราชโอรสของ พระเจ้าวิปุลราช และพระนางวิปุลาพระอัครมเหสี แห่งกรุงสุธัญญวดี
ทรงครองฆราวาสวิสัยเสวยโลกียสุขอยู่ ๖ พันปี เสด็จออกมหาภิเนษกรณ์ด้วยยานคือรถเทียมม้า ในวันที่พระโอรสวรุณะ ประสูติจากพระครรภ์ของพระนางสุทัสสนา พระอัครชายา มีข้าราชบริพารออกบวชตามเสด็จ ๑ โกฏิ
ทรงทำความเพียรเป็นเวลา ๗ เดือน
ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือ นางสาธุเทวีธิดาเศรษฐี
นิสีทนสันถัตกว้าง ๕๓ โดยใช้หญ้าคา ๘ กำ ที่อาชีวกผู้หนึ่งถวาย ประทับนั่งใต้ต้นนาคะ (ต้นกากะทิง หรือต้นบุนนาค)
พระอัครสาวกคือ พระวรุณะ และพระพรหมเทวะ
พระพุทธอุปัฐากคือ พระสัมภวะ
ทรงแสดงพระธรรมเทศนา ๓ ครั้ง
มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง
เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระราชอุทยานมหานาควัน พระบรมธาตุแผ่กระจายไปเป็นส่วนๆ ในนานาประเทศ โดยทรงอธิษฐานขอให้พระบรมธาตุของพระองค์ “ จงเฉลี่ยให้ทั่วถึงกัน”
พรามหณ์อติเทวะ
ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดในตระกูลพราหมณ์ชื่อ อติเทวะ ศึกษาเชี่ยวชาญเรื่องไตรเภท วันหนึ่งอติเทวะมีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระเรวตะสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความเลื่อมใสศรัทธา ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ กล่าวสดุดีพระบรมศาสดาด้วยคาถาพันโศลก แล้วเปลื้องผ้าห่มมีค่าหนึ่งพันบูชาพระธรรมเทศนา พระบรมศาสดาตรัสพยากรณ์ว่าอีก ๒๐ อสงไขยแสนกัปต่อไป จะเป็นพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ อติเทวะได้ฟังแล้วก็ยิ่งเลื่อมใส ปีติยินดี ได้บำเพ็ญบารมีต่างๆ ยิ่งยวดขึ้นไป
ต้องเป็นให้ได้ (ดั่งเช่นพระพุทธเจ้า)
โดย อุบาสิกาถวิล (บุญทรง) วัติรางกูล