พระชนม์ชีพของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน ๒

วันที่ 19 สค. พ.ศ.2548

 

 

ต้นราชวงศ์ศากยะคือ พระเจ้าโอกกากราช มีพระราชบุตร ๔ พระองค์ พระราชบุตรี ๕ พระองค์ กับพระมเหสีที่เป็นราชภคินี(น้องสาว) ของพระองค์ เมื่อพระมเหสีทิวงคต ทรงมีพระมเหสีใหม่ มีพระราชบุตรใหม่อีกพระองค์หนึ่ง พระเจ้าโอกกากราชทรงพลั้งประทานพรแก่พระมเหสีใหม่ว่า ต้องการสิ่งใด จะประทานให้ พระนางทูลขอราชสมบัติให้พระโอราชของตน

พระเจ้าโอกากราชจึงทรงให้พระราชโอรสและพระราชธิดาเดิมออกจากเมืองไปตั้งพระนครกันขึ้นเอง พระเชฏฐภคินี (พี่สาวคนโต) เสกสมรสกับพระเจ้ากรุงเทวทหะ ตั้งเป็นกษัตริย์โกลิยวงศ์

ส่วนพี่น้องที่เหลือ ๘ พระองค์ ทรงจับคู่กันเองตั้งเมืองขึ้นในดงไม้สักกะ เขตหิมพานต์ในที่อยู่ของพระฤาษีกบิลดาบส ขนานนามว่า กบิลพัสดุ์ ตามชื่อของฤาษี เป็นกษัตริย์วงศ์ศากยะ

พระนครกบิสพัสดุ์ มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมาช้านาน กระทั่งถึงพระเจ้าสุทโธทนะ มีพระนางสิริมหามายา(ลูกของอาผู้หญิง) เป็นพระชายา ทั้งสองพระองค์ทรงให้กำเนิดเจ้าชายสิทธัตถะ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา)

คืนวันที่พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต ถือกำเนิดในพระครรภ์พระราชมารดานั้น พระนางสิริมหามายาทรงสุบินนิมิตว่า พระนางเสด็จไปที่ป่าหิมพานต์ มีช้างเผือกขาวผ่องเชือกหนึ่งลงมาจากยอดเขาสูง ชูงวงที่มีดอกบัวสีขาวส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจร นำมาถวายให้แล้วเดินเวียนทำความเคารพครบสามรอบแล้วจากไป โหราจารย์ประจำราชสำนักทำนายว่า พระนางจะทรงมีพระราชโอรสผู้ประเสริฐ พระเจ้าสุทโธทนะทรงดีพระทัย พร้อมรับสั่งให้ดูแลพระมเหสีเป็นอย่างดี

พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ในท่าประทับนิ่งสมาธิ มีสติตลอดเวลา ไม่คุดคู้ เหมือนอาการของทารกทั่วไป ทั้งไม่เปรอะเปื้อนด้วยมลทินในครรภ์ พระมารดาทรงแลเห็นได้ถนัด

ครั้นใกลประสูติ เป็นธรรมเนียมของประชาชนในยุคนั้น นิยมกลับไปคลอดลูกที่บ้านเดิมของตน พระนางสิริมหามายาจึงทูลขอพระราชานุญาต แต่พระนางเสด็จไปไม่ถึงนครเทวทหะ มาถึงครึ่งทางที่ป่าลุมพินีวัน ประชวรพระครรภ์ ประทับยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ ประสูติพระราชโอรส

พระวรกายของพระโพธิสัตว์บริสุทธิ์สะอาดไม่เปรอะเปรื้อนด้วยครรภ์มลทินใดๆ มีเทวดามารองรับในอากาศ มีการกลั่นตัวของไอน้ำเกิดเป็นน้ำร้อนน้ำเย็นผสมเป็นน้ำอุ่นตกลงมาสนานพระองค์ ทรงดำเนินด้วยพระบาทได้เอง ๗ ก้าว มีดอกบัวผุดขึ้นรองรับพระบาท ๗ ดอก ทรงหยุดยืนตรัสอาสภิวาจา(วาจาองอาจ) ว่า “อคฺโคหมสมิ โลกสฺส” เราเป็นอัครบุรุษของโลก หรือ เราเป็นเอกในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก

เวลานั้นเป็นเวลาสายใกล้เที่ยง วันศุกร์ เพ็ญเดือนวิสาขะ(เดือน ๖) ปีจอ ก่อนพุทธศก ๘๐ ปี

เรื่องอภินิหารเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องประหลาด สำหรับผู้มีบุญญาบารมีเต็มเปี่ยมแล้ว ย่อมมีสิ่งที่พิเศษกว่าคนธรรมดา เมื่อประสูติ จึงสามารถเดินได้ทันที ด้วยบุญบารมีที่สะสมมานาน ส่วนเรื่องน้ำร้อนน้ำเย็นที่เกิดขึ้นในอากาศก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อผู้มีบุญขนาดพระโพธิสัตว์บังเกิดขึ้น เทพยดาผู้มีหน้าที่ดูแล ย่อมต้องตามรักษาเป็นธรรมดา ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อแต่ประการใด เพราะขนาดคนธรรมดาอย่างเราๆ เมื่อตั้งใจทำบุญกุศลสั่งสมความดีอยู่เสมอ ยังได้พบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์กันอยู่เสมอ และเมื่อตรวจดูกันด้วยอำนาจสมาธิจิต มักพบว่า คนที่หมั่นประกอบคุณงามความดีนั้นมักมีเทวดาประเภทหนึ่งคอยติดตามช่วยเหลือ เพราะเทวดาประเภทนี้อยู่ในเทวภูมิ มีโอกาสสร้างบุญกุศลเพิ่มได้ยาก เมื่อได้คอยช่วยเหลือมนุษย์ที่กระทาความดี ก็ได้พลอยอนุโมทนาในความดีที่มนุษยาเหล่านั้นกระทำอยู่ เทวดาเหล่านี้ก็ได้บุญเพิ่มขึ้นทุกครั้งไป

พระรูปกายของพระโพธิสัตว์เมื่อประสูติออกมานั้นงดงามไม่มีที่ติด มีลักษณะมหาบุรุษครบทั้ง ๓๒ ประการ ตามตำราทำนายลักษณะของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งมีสอนกันไว้ในเวลานั้น ว่าใครที่มีลักษณะอย่างนี้ ถ้ามีชีวิตครองเรือน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชผู้ยิ่งใหญ่ ปกครองแผ่นดินกว้างขวาง มีมหาสมุทรทั้ง 4 เป็นขอบเขตทุกทิศ ถ้าออกบวชจะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระศาสดาเอกในโลก

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0015031337738037 Mins