ของเขา ของเรา

วันที่ 24 มค. พ.ศ.2546

 


.....มีโอกาสได้ขึ้นรถสองแถวไปตลาด มีผู้โดยสารร่วมทางไปกับดิฉันหลายคน แต่ทุกคนมีที่นั่งกันสบายๆ ไม่อึดอัด แล้วรถก็จอดรับผู้โดยสารคนใหม่ เป็นแม่ลูกคู่หนึ่ง พอคุณแม่ได้ที่นั่งแล้วเธอก็เอากระเป๋าใบใหญ่วางไว้บนตัก ให้ลูกชายตัวเล็กของเธอยืนข้างๆ

 

.....เด็กชายอายุสัก ๔ - ๕ ขวบ ใช้มือข้างหนึ่งจับเข่าแม่เขาไว้ มืออีกข้างจับเข่าสาวสวยที่นั่งข้างแม่ สาวสวยคนนี้เธอสวมกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นขาขาว หนุ่มน้อยเอามือวางบนเข่าเธออย่างถือวิสาสะ ดิฉันเห็นภาพอย่างนี้แล้วรู้สึกขำ คิดในใจว่าอีกสัก ๑๐ - ๑๕ ปี ถ้าเขายังเที่ยวเอามือไปเกาะเข่าสาวๆ โดยไม่ขออนุญาตอย่างนี้ คงเจอข้อหาแต๊ะอั๋งแน่เชียว

 

.....แต่ความจริงหนุ่มน้อยคนนี้ เขาคงไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า จะหากหลักยึดเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง จะเข่าใครก็ช่าง ขอเกาะให้แน่นไว้ก่อน ดิฉันเห็นความน่ารักของเด็กก็ตรงนี้เอง เด็กจะไม่ถือเขาถือเรา คิดตรงไปตรงมา ไม่ซับซ้อน

 

.....มีอีกเรื่องหนึ่งที่เข้าทำนองเดียวกัน ดิฉันอ่านพบบทความนี้ในนิตยสารสุขภาพ คุณหมอผู้เขียนเล่าว่า คุณหมอมีหลานสาว อายุ ๔ ขวบ ขณะที่เธอนั่งชักโครกถ่ายทุกข์อยู่ เธอจะเอามือข้างหนึ่งอุดจมูกไว้เสมอ ถามเธอว่าทำไมทำอย่างนั้น เธอตอบว่า "เหม็นค่ะ"

 

.....คุณหมอได้ฟังอย่างนั้น ก็เลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเลิกเอามือปิดจมูกตอนถ่ายตั้งแต่เมื่อไร คุณหมอว่าผู้ใหญ่ไม่เอาปิดจมูกตอนถ่าย เพราะรู้สึกว่าไม่เหม็น(เท่าไรนัก) เพราะเป็นของของตัว แต่ถ้าไปได้กลิ่นของคนอื่นเขา ทนไม่ได้จริงๆ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ว่าของของใครก็เหมือนกันทั้งนั้น

 

.....ดิฉันอ่านบทความนี้แล้วคิดไปถึงเรื่องการทำงาน ความผิดพลาดของตัวเอง หากเป็นเรื่องเล็กน้อย ก็มองข้ามไปไม่เห็นผิดตรงไหน หรือเป็นเรื่องใหญ่โตก็กลับมองไปว่าไม่เท่าไร หากเป็นความผิดพลาดของคนอื่น เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ยิ่งรับไม่ได้ อภัยกันไม่ได้เลย

 

.....เพราะอะไรหรือคะ? ที่ทำให้ความถือเขาถือเขา เติบโตขึ้นตามอายุที่มากขึ้น ความไร้เดียงสาก็หดเล็กลง แล้วฝ่อไปในที่สุด ดิฉันกลับมาทบทวนดูว่า เราสูญเสียอะไรไปบ้าง ในเวลาที่ต่อมเดียงสาของเราไม่ทำงานแล้ว ดิฉันพบว่าความสุขจากจินตนาการไม่หลงเหลือเลย ความสดใส มีชีวิตชีวา ไร้การปรุงแต่ง ร่วงโรยไป

 

.....ยามเด็กพูดว่า ซ้าย แปลว่า ซ้าย คือด้านตรงข้ามกับขวา ถ้าผู้ใหญ่พูดว่า ขวา อาจแปลได้ทั้งซ้ายและขวาแล้วแต่กรณี

 

.....ดิฉันกำลังโหยหาความซื่อใสแบบเด็กๆ แต่ไม่ได้แปลว่าให้ทำตัวเป็นเด็กนะคะ ดิฉันหมายถึงการทำใจเป็นเด็ก เด็กๆ ถึงเขาจะตัวเล็ก แต่จิตใจเขากว้างขวาง ใส ซื่อ มองทุกอย่างตามความเป็นจริง

 

.....ก่อนนอนคืนนี้ หลับตาลงปล่อยใจสบายๆ ย้อนอดีตสู่ความทรงจำสมัยที่เราอายุสัก 3-4 ขวบ ซึมซับดวงใจพิสุทธิ์ในตอนนั้นไว้สัก10 - 15 นาที ก่อนหลับ ผ่อนคลายความถือเขาถือเราให้เจือจางลง ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า คุณจะพบว่าตนเองแจ่มใสขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ลองดูสิคะ

 

 

ภัทรา ประภาสชล

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.044498948256175 Mins