.....สักกี่ครั้งในความเป็นลูกผู้ชาย ที่ต้องล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้ม ก้มเงย อยู่กับเพียงสองความหมายเท่านั้น " ผู้แพ้ " กับ " ผู้ชนะ " ที่ผลัดกันมาเวียนว่ายเข้ามาในทุกคืนวันของชีวิต
.....แล้วในที่สุด ผู้ชายทุกคนก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง ที่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีอย่างเต็มฝีเท้า ด้วยความเร็วเท่าๆกับอัตราพลิกผันของวันเวลา นั่นคือ " ความพ่ายแพ้ " และ " ความเป็นผู้แพ้ "
.....ทำไม…
.....เพราะต่างล้วนไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้ ไม่สามารถหยุดความอยาก ไม่สามารถหยุดอยู่กับความรัก และความสำเร็จ ไม่สามารถหยุดผู้เป็นที่รักให้สลักติดแน่นกับตน ไม่สามารถสลัดความกลัวออกไป ยังมีความหวั่นไหวในความพลัดพราก สูญเสีย ไม่สามารถยับยั้งน้ำตาที่ไหลย้อนท่วมอกตนเอง ในทุกๆครั้งของความผิดหวัง ไม่สามารถยืนอยู่ บนจุดของความยิ่งใหญ่ได้ตลอดเวลา ไม่สามารถให้ความรักกับผู้คนมากมาย ได้ดังใจปรารถนา
.....ในที่สุด…ผู้ชายทุกคนจะต้องพบในบั้นปลายของชีวิต ว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ และยังทำไม่ได้ มีหลายอย่างที่เมื่อคิดได้ วันวัยก็ล่วงเลยจนชรา แขนขาที่เคยแข็งแกร่งกลับอ่อนล้าโรงลงทุกวัน ทำได้เพียงหันหลังย้อนมองครรลองที่ผ่านมาแล้วในอดีต บ้างอยู่อย่างเป็นสุขปนเสียดาย ปนน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต บ้างสำนึกผิดในเรื่องที่ล่วงแล้วมา บ้างเสียดายเวลาที่ใช้จนเสียหายไปอย่างเพลิดเพลิน เพราะต่างลืมไปว่าทุกๆวัน ชีวิตดำเนินไปสู่ความสิ้นสุดต่างหาก หาได้ดำเนินไปสู่ชัยชนะ อย่างที่ใครต่อใครพากันกล่าวไว้เพื่อหลอกหลอนใจเท่านั้นเอง
.....ทว่า…ยังมีเส้นทางหนึ่ง ที่ใครก็ตามได้เข้ามาแล้วไม่มีคำว่า " เสียดาย "
.....เส้นทางนี้มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มิได้สะดวกสบาย หากเป็นเส้นทางที่ปูลาดไว้ด้วยทั้งหมด ของความจริง นั่นคือ ความเป็นผู้ชนะจริง ความเป็นผู้เข้าสู่เส้นชัยได้จริง และทำความสำเร็จได้จริง เป็นความจริงที่ดำรงยั่งยืนอยู่เสมอ ไม่ว่าอายุจะทวีคูณเพียงไหน ร่างกายจะเหี่ยวแห้งย่นยู่ลงสักเพียงใด ความเป็นจริงที่ได้รับ ได้เป็นอยู่นั้นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ความร่วงโรยของร่างกายที่เป็นไปกับวันวัย ไม่อาจทำให้แสงแห่งชัยชนะ แสดงความรักอันกว้างใหญ่หรี่ราลงได้เลย
.....คำว่า " ผู้ชนะ " ยังน้อยเกินไปสำหรับผู้ตัดสินใจเดินเข้ามาในหนทางสายนี้ เพราะเขาผู้ตัดสินใจจะต้องยอมละวางละจาก และห่างไกลจากสิ่งที่เคยคุ้นเคย ยากนักที่จะทำได้ ไม่ว่าจะโดยตลอดไป หรือชั่วคราว
.....เส้นทางสายนี้มิได้เป็นเพียง ถนนสีขาว หากเป็นหนทางสีทองวัดวาว สีทองที่เปล่งปลั่ง เรืองรองส่องเชื่อมต้นทางอันสูงสุดเขตฟ้าเข้าไว้กับห้วงน้ำและแผ่นดิน หนทางที่มิรู้สิ้นความสุข และความงดงาม
.....วิถีนี้ปูลาดด้วยสีทองแห่งกาสาวพัสตร์ ถนนที่พุทธบุตรใช้เดินเข้าสู่อ้อมอกของบิดาแห่งตน " ถนนธรรมทายาท " เส้นทางสะอาด เปล่งแสงสุกใส พร่ำเพรียกเรียกหาลูกผู้ชายผู้ใฝ่หาชัยชนะที่แท้จริง ให้ผละจากความเป็นผู้หมักจมอยู่กับความพ่ายแพ้ และหนีห่างออกจากการถูกล่อลวงด้วยชัยชนะจอมปลอม เข้าสู่ความหอมแห่งศีล ความหอมแห่งอิสรภาพของใจ ความไม่ตกอยู่ในค่ายกลของมายา ไม่ติดอยู่กับสาไถยของความงามที่นับวันจะมีแต่ร่วงโรยลง
.....มาเถิด…ชายกล้าทั้งหลาย จงพากันเดินตรงเข้าสู่เส้นชัย บนหนทางที่มีชัยชนะในวันวัยวาระที่ร่างกายยังกล้าแกร่ง กล้ามเนื้อยังเกาะตัวกันแน่น ดวงตายังสดใส ดวงใจที่ลุกโชนด้วยพลังแห่งการต่อสู้ เพื่อผู้กล้าทั้งหลายจะได้ผนึกกำลังกายกำลังใจ มุ่งสู่อิสรภาพที่ถึงพร้อม ทั้งกาย และใจ เพื่อที่จะได้โอบอุ้มผู้ที่เป็นที่รัก แบกพาผู้มีพระคุณให้โบยบินไปสู่อ้อมอกแห่งความปลอดภัย ที่จีรังยั่งยืนยิ่งกว่าหมื่นอายุขัยของการเกิดขึ้นของมวลชีวิตใดๆ ในอนันตจักรวาล
.....บวชเป็น " พระธรรมทายาท " คือ ความองอาจที่ประกาศก้องได้ไกลกว่าแสนโกฏิจักรวาล เป็นสัญญาณท้าทายที่ลูกผู้ชายต้องพิสูจน์ อย่างน้อยหนึ่งครั้งในหนึ่งช่วงชีวิต เพื่อจะได้พยานลิขิตเป็นร่องรอยแห่งศักดิ์ศรีเอาไว้ว่า ได้เดินเข้ามาแล้ว…ในวิถีแห่งชนะ
… " หนึ่งนาทีที่เป็นบัณฑิต ดีกว่าตลอดชีวิตที่เป็นพาล "…