ชีวิตธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
ความสมบูรณ์ของชีวิต ประกอบด้วยร่างการที่แข็งแรง ละจิตใจที่เข้มแข็งบ้างก็ว่าความเข้มแข็งของจิตใจต้องอยู่บนพื้นฐานของร่างกายที่แข็งแรง บางคนว่าร่างกายจะแข็งแรงได้ต้องมีจิตใจที่เข้มแข็งและเบิกบาน แต่ทั้งร่างกายและจิตใจนั้นต่างก็ไม่อาจแยกจากกันได้อย่างอิสระ เหมือนป่าไม้ที่ไม่อาจขาดน้ำได้ เมื่อใดที่ป่าขาดน้ำความแห้งแล้งจะเกิดขึ้นไม่เหลือความสดชื่นของชีวิตเลย
ในการดำรงชีวิตยุคปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพของอาหาร จนเกิดการแข่งขันกันอย่างมากมาย ทั้งการโฆษณาและรูปแบบสินค้า แต่ก็มีจ้อคิดว่าในยุคสมัยของปู่ย่าตายาย ร่างกายของคนยุคนั้นจะมีขนาดที่สูงใหญ่ แข็งแรง และอายุยืนยาว บางคนมีอายุเป็นร้อยปีก็มี แต่ยุคปัจจุบันขณะที่โลกมีการพัฒนาทางเทคโนโลยีมากขึ้น อายุและความแข็งแรงของมนุษย์กลับมีน้อยลง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ใน ๑๐๐ ปี อายุของมนุษย์จะลดลง ๑ ปี นั่นคือเมื่อ ๒๕๐๐ ปีที่แล้วมนุษย์มีอายุเฉลี่ย๑๐๐ ปี ในปัจจุบัน มีอายุเฉลี่ยเหลือประมาณ ๗๕ ปี ทั้งนี้เนื่องจากความเสื่อมภายในและภายนอกของตัวมนุษย์นั่นเอง
ความเสื่อมภายใน คือ ศีลธรรมความดีงามน้อยลง ชาวพุทธจำนวนมากที่ไม่รู้จักศีล ๕ ซึ่งเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิต เพื่อนำไปสู่ความสุขทั้งตนเองและสังคม ความเสื่อมภายนอก ก็คือสภาวะแวดล้อมรอบๆตัว ไม่ว่าจะเป็น อาหาร น้ำ อากาศ เกิดเป็นมลพิษทำลายชีวิตและสิ่งแวดล้อม ให้มีความเป็นอยู่ที่เสี่ยงต่อชีวิตและขาดความปลอดภัยความมั่นคงในการดำเนินชีวิต
ในยุคสมัยก่อน อาหารที่บริโภคไม่ว่าจะมาจากพืชหรือสัตว์ ส่วนมากได้มาจากการปลูก การเลี้ยง ในครัวเรือน เป็นอาหารได้จากธรรมชาติ ปราศจากสารพิษยาฆ่าแมลง
เมื่อประชาชนเพิ่มมากขึ้น คุณภาพของสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปในทางเลวลง ดิน น้ำ อากาศ ถูกปลอมปนด้วยสารเคมีมากขึ้น สารพิษ รอบๆตัวเกิดขึ้นมากมาย อาหารจากพืชและสัตว์มีการใช้ยาฆ่าแมลง สารเคมี เพื่อเพิ่มการเจริญเติบโต ละเร่งการออกดอก ออกผล การทำให้ได้ปริมาณผลผลิตโดยลืมนึกถึงคุณภาพต่อผู้บริโภครวมทั้งวัฒนธรรมการบริโภคแบบตะวันตกแพร่เข้ามาโดยเฉพาะอาหารที่เน้นไขมัน ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศเมืองหนาว แต่ไม่เหมะกับอากาศเมืองไทย จึงทำให้เกิดปัญหากับภาวะสุขภาพกันมากขึ้น
ในช่วงเวลา ๑๐ ปีที่ผ่านมามีการรณรงค์ให้เด็กไทยหันมาดื่มนม เพื่อต้องการแคลเซียมจากนมในการเจริญเติบโต แต่ลืมรณรงค์ให้เด็กและเยาวชนบริโภคพืชผักและผลไม้ซึ่งผลิตได้เองในประเทศ ทำให้เด็กส่วนใหญ่หันมานิยมดื่มนมแต่ไม่สนใจผักและผลไม้ บางคนถึงขนาดเกลียดผักก็มี ทำให้เด็กไทยเจริญเติบโตโดยขาดความแข็งแรง ขาดภูมิต้านทานโรค เจ็บป่วยง่ายมากขึ้น
ในความเป็นจริงแล้ว ตั้งแต่วัยทารกถึงอายุ ๕ ขวบ ร่างกายต้องการโปรตีนเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเซลล์สมองและเนื้อเยื่อต่างๆ โดยเฉพาะสมองต้องการวิตามินในการทำงานถึง ๒๐ % ซึ่งวิตามินต่างๆ จะพบอยู่ในพืช ผัก ผลไม้
วิตามิน คือ สารอาหารที่จำเป็นเท่าๆ กับหมู่อื่น มีประโยชน์ทั้งเป็นตัวสร้างภูมิคุ้มกันและรักษาให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่ปกติที่สุด การบริโภคพืชผัก สามารถรับประทานได้สดๆ หรือนำมาประกอบอาหารร่วมกับชนิดอื่นๆซึ่งสีสันของผักผลไม้ แต่ละชนิดทำให้ดูน่าลิ้มลองและไม่น่าเชื่อเลยว่าจะให้คุณค่ามากมาย
สารสีเขียว ของผักมีสารคลอโรฟิลล์ ยิ่งสีเข้มมากปริมาณคลอโรฟิลล์จะมาก นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า สารสีเขียวให้พลังงานมากป้องกันมะเร็ง กำจัดกลิ่นเหม็นของร่างกาย ที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบของตัวเองและผู้อยู่ใกล้
สารสีแดง เช่น มะเขือเทศ จะมีสารต้านการเกิดมะเร็ง
สารสีส้ม เช่น แครอท มีสารต้านการเกิดมะเร็ง และช่วยลดระดับไขมันในเลือดให้น้อยลง
สารสีเหลือง ป้องกันการเสื่อมในการมองเห็นของตา
สีม่วง มีสารช่วยลบล้างสารก่อมะเร็ง ช่วงขยายเส้นเลือด ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและอัมพาตด้วย
นอกจากสีสันความสวยงามเชิญชวนให้น่ารับประทานแล้ว ผักยังอุดมไปด้วยสารอาหารวิตามินอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น
วิตามิน A ในข้าวโพด ฟักทอง กะหล่ำปลี ผักใบเขียว
วิตามิน B ในเผือก หอมหัวใหญ่ มะเขือ ถั่วฝักยาว มะนาว
วิตามิน E ในผักบุ้ง ถั่วลิสง
แคลเซียม ในเผือก กระเทียม หอมหัวใหญ่
โปแตสเซียม ในกะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ
ธาตุเหล็ก ในถั่วฝักยาว มะเขือ หอมหัวใหญ่
อาหารเสริมที่ได้จากการสังเคราะห์ทางเคมี ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน โปรตีน ในรูปแบบต่างๆ ย่อมไม่เหมือนอาหารที่ได้จากธรรมชาติ และเช่นเดียวกัน การที่จะมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ต้องหมั่นดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองอย่างต่อเนื่องจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การดูแลสุขภาพกายต้องได้อาหารครบทุกหมู่ออกกำลังกายและพักผ่อนพอเพียง ในด้านจิตใจ ต้องปลูกฝั่งตั้งแต่วัยเด็ก ให้รู้จักให้ทาน รักษาศีล และที่สำคัญเจริญสมาธิภาวนา อันจะเป็นหนทางสู่ความสมบูรณ์สูงสุดของชีวิต
สีสันและคุณค่าของพืชผักผลไม้ที่ผู้บริโภคได้รับปริมาณที่เหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดความแข็งแรงและสมบูรณ์ต่อสุขภาพกาย แต่สีสันและคุณภาพของชีวิตมนุษย์ คือ การสั่งสมความดีงามให้กับตนเองแล้วขยายผลสู่สังคม ทำให้สังคมมีความสุขและความปลอดภัย เป็นสังคมซึ่งร่มเย็นไปด้วยอำนาจแห่งคุณธรรมอย่างแท้จริง