กาลครั้งหนึ่ง มีมีดโกนหนวดแสนสวยอันหนึ่ง ทำงานอยู่ในร้านตัดผม วันหนึ่งไม่มีลูกค้าเลย มันจึงออกจากด้ามไปผึ่งแดด เมื่อมันเห็นพระอาทิตย์ส่องแสงสะท้อนใบมีดราวกับกระจก มันมีความรู้สึกภูมิใจในประกายของมันมาก ดังนั้น เมื่อมันหวนคิดถึงอดีตที่เป็นเพียงมีดโกนหนวด จึงรำพันว่า..
“วันหนึ่ง เราจะกลับไปในร้านที่เพิ่งจะออกมาหยกๆ ไหมนะ? ไม่แน่ๆ!
เราผู้มีประกายเจิดจ้าจะกลับไปโกนหนวดที่ฟอกสบู่แล้วของผู้คนเหล่านั้นหรือ?
เราไม่อยากทำงานเป็นเครื่องจักรกลเช่นนั้นอีกต่อไป
รูปร่างที่งดงามของข้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานเหล่านี้หรือ ไม่ใช่แน่
ด้วยเหตุนี้ เราจะไปซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ลับ เพื่อลิ้มรสชาติชีวิตพักผ่อนแสนสงบ”
พูดจบ มีดโกนหนวดก็แอบซ่อนตัวอย่างดีเพื่อหลบสายตาคนอื่นๆหลายเดือนผ่านไป วันหนึ่ง มันอยากออกไปสูดอากาศ จึงออกจากที่ซ่อน แต่กว่าจะออกได้ก็ลำบากลำบนเต็มที เมื่อมองดูตัวเอง ก็งุนงงเป็นที่สุด ช่างน่าแปลกใจอะไรอย่างนี้ ดูผิดหูผิดตาเสียจนเหมือนกับเลื่อยขึ้นสนิม และใบมีดก็ไม่สะท้อนความงดงามของพระอาทิตย์อีกต่อไป มีดโกนสำนึกผิดอย่างขมขื่น แต่ไร้ประโยชน์ที่จะเสียใจกับความงามที่หายไป จึงได้ร้องไห้กับความเสียหายที่แก้ไขไม่ได้แล้วนี้ พร้อมกับพูดว่า..
“อนิจจา คมมีดที่เสียไปน่าจะได้ใช้งานที่ร้านตัดผมมากกว่า ความบางเฉียบของคมมีด กลายเป็นอะไรไป
ใบมีดที่เจิดจ้าอยู่ที่ไหน ตอนนี้เราถูกสนิมกินจนกร่อน ดูน่าเกลียดน่าชัง ความทุกข์ของเราไม่มีทางแก้ได้”
คนขี้เกียจก็เหมือนกับมีดโกนนี้ ไม่ทำงานเอาแต่เพ้อฝัน จึงสูญเสียรูปร่างและความคมไปสนิมนั้น คือ ความเขลาและความเกียจคร้าน
“ความยากลำบาก ฝึกให้ใจเข้มแข็ง เหมือนกับการทำงาน ทำให้ร่างกายแข็งแรง
Difficulties strengthen the mind, as labour does the body.”
ขอขอบคุณ หนังสือ”ปัดใจ” โดย สโมสรต้อนรับระดับโลก
สงวนลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามนำไปใช้ประโยชน์ทางการค้าหรือหากำไร ผู้ฝ่าฝืนมีความผิดและต้องรับโทษตามกฎหมาย