อาตมาเองเกิดในตระกูลชาวไร่ชาวนา อยู่จังหวัดกาญจนบุรี ฐานะทางบ้านไม่ร่ำรวยขนาดมีเงินฝากธนาคารเป็นถุงเป็นถัง แต่ก็มีความภูมิใจว่าครอบครัวของเราไม่เคยเป็นหนี้ใคร เราอยู่กันตามประสาชาวไร่ชาวนา
ตอนเรียนหนังสืออาตมามีเพื่อนฝูงที่ร่ำรวยหลายคน แต่ก็ไม่เคยนึกน้อยใจเลยว่าพ่อแม่ไม่ร่ำรวยเหมือนพ่อแม่คนอื่น คงเป็นเพราะอาตมาจำภาพคราวคับขันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเมื่อตอนเด็ก ๆ ได้ติดตาติดใจ คราวนั้นถ้าไม่ได้ท่าน เราคงตายไปแล้ว
ดังนั้น ถึงยากลำบากอย่างไรก็ไม่คิดจะเรียกร้องเอาอะไรจากท่านอีก จำได้ว่าตอนนั้นอาตมาอายุประมาณ ๔ - ๕ ขวบ เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ภาพเหตุการณ์บางตอนอาตมาจำได้แม่นยำ คงเป็นเพราะความกลัวสุดขีดนั่นเอง เสียงลูกระเบิดหล่นตูมๆ แผ่นดินสะเทือนไปหมด เวลาเครื่องบินข้าศึกบินมาทิ้งระเบิด ทางราชการเขาจะเปิดหวอเป็นสัญญาณให้ชาวบ้านหนีลงหลุมหลบภัย พอเสียยงหวอดังขึ้นโยมแม่ของอาตมาไม่รอช้า รีบคว้าข้อมือของพี่สาว ๒ คน วิ่งลิ่วไปที่หลุมหลบภัย ส่วนโยมพ่อ เนื่องจากอาตมายังเล็ก ท่านจึงเอาขึ้นบ่าแบกวิ่งไปอย่างเร็วที่สุด ข้าวของอะไรไม่เอาทั้งนั้น ลงหลุมได้ก็กอดกันกลม อกสั่นขวัญแขวนไปหมด!
โยมแม่เล่าให้ฟังตอนหลังอีกว่า บางคราวขนาดลูกระเบิดหล่นตูม ๆ อาตมายังงอแงจะกินนั่นกินนี่ โยมแม่ต้องวิ่งขึ้นจากหลุมมาเอาลงไปให้กิน แหม...เรานี่ทรมานพ่อทรมานแม่จังเลย
เพราะฉะนั้นโตขึ้นมาแล้ว จึงไม่นึกอยากจะเอาสมบัติอะไรจากท่านอีก นึกอยู่เสมอว่า ท่านเสี่ยงตายเลี้ยงเรามาถึงขนาดนี้ รักเรายิ่งกว่าชีวิตของท่าน แค่นี้ก็เกินพอแล้ว เวลาอ่านหนังสือพิมพ์พบข่าวกรณีพ่อแม่ใครตาย แล้วลูก ๆ แย่งสมบัติกัน อาตมาก็อดสมเพชสลดใจไม่ได้ ทำไมหนอ ทำไมจึงเป็นคนอย่างนี้ แย่งกันไป ฟ้องกันไป บางคนถูกทนายเอาไปกินหมด