.....นับเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๒๔ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์ ทรงพระนามว่า พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสรีระสูง ๒๐ ศอก อายุขัยมนุษย์ยุคนั้น ๒ หมื่นปี เป็นบุตรของพราหมณ์พรหมทัตตะ และนางพราหมณีธนวดี เป็นพราหมณ์มหาศาลในกรุงพาราณสี วรรณะนี้สูงสุด ครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๒ พันปี เมื่อนางพราหมณีสุนันทาผู้ภรรยาคลอดบุตรชื่อ วิชิตเสนะ เห็นนิมิต ๔ ประการ เกิดสลดใจ จึงเสด็จออกอภิเนษกรมณ์ พร้อมบริวารด้วยยานคือปราสาท มีผู้ออกบวชตาม ๑ โกฏิ
ทำความเพียรอยู่ ๗ วัน ผู้ถวายข้าวมธุปายาสคือ นางสุนันทาพราหมณี นิสีทนสันถัตกว้าง ๑๕ ศอก คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ โสมะ ถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งโคนต้นนิโครธ พระอัครสาวกคือ พระติสสะ และ พระภารทวาชะ พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระสัพพะมิตตะ ทรงแสดงธรรม ๕ ครั้ง ครั้งแรกทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ภิกษุผู้ตามออกบวช ๑ โกฏิ ที่อิสิปตนมิคทายวัน กรุงพาราณสี ครั้งที่ ๓ และ ครั้งที่ ๔ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๕ ทรงฝึกยักษ์ชื่อ นรเทพ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ถือพระองค์เป็นสรณะ มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ทรงยกปาฏิโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางพระอรหันต์ ๒ หมื่น ในวันมาฆบูรณมี
เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อชนม์พรรษา ๒ หมื่นพรรษา ที่พระวิหารเสตัพยาราม ใกล้เสตัพยานคร แคว้นกาสี พระบรมสารีริกธาตุไม่กระจัดกระจาย รวมอยู่ในพระสถูปสูง ๑ โยชน์ ซึ่งงดงามด้วยแผ่นอิฐทองคำ และวิจิตรด้วยรัตนะ ที่วิหารนั้น
ในพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพราหมณ์ ชื่อ โชติปาละ ศึกษาวิชาของศาสนาพราหมณ์แตกฉาน รอบรู้เรื่องดินฟ้าอากาศ และวิถีนักษัตรฤกษ์ และนิมิตต่างๆ มีเพื่อนรักมาก คือฆฏิการะอุบาสก มีอาชีพปั้นหม้อ เป็นอุปัฏฐากผู้หนึ่งของพระบรมศาสดา ฆฏิการะเป็นผู้ชักนำโชติปาละมาเฝ้าฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังแล้วเกิดศรัทธาเป็นอย่างดี จึงออกบวชในสำนักพระตถาคตเจ้า หมั่นพากเพียรเล่าเรียนพระไตรปิฎกแตกฉานช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้กว้างขวางเป็นอันมาก เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของมหาชนยิ่งนัก
พระบรมศาสดาทรงเห็นความอัศจรรย์ในความสามารถ จึงทรงตรวจด้วยอนาคตังสญาณ แล้วตรัสพุทธพยากรณ์ว่า ภิกษุโชติปาละจะเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในกัปเดียวกันนี้ พระโพธิสัตว์ฟังพุทธพยากรณ์แล้ว ยิ่งปีติเพิ่มพูนความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์ จึงอธิษฐานบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์ยิ่งขึ้น หวังบรรลุพระสัพพัญญุตญาณสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าที่บริบูรณ์ด้วยพระคุณทั้ง ๓ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ ละโลกแล้วไปสู่สุคติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในกัปปัจจุบัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรามาอุบัติเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๔ ในกัปปัจจุบัน เมื่อก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี แม้ขณะนี้พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว เป็นเวลานานเท่ากับจำนวนปีพุทธศักราช แต่ก็ยังถือว่าเป็นพุทธกาลของพระองค์อยู่ เพราะยังมีคำสอนของพระตถาคตเจ้าให้พุทธศาสนิกชนได้ศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติตามจนกระทั่งทุกวันนี้
รายละเอียดพระประวัติชีวิตในพระชาตินี้ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ส่วนการบำเพ็ญพุทธบารมีก่อนพระชาตินี้ ทรงกระทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ ตรัสรู้ด้วยปัญญา คือ ในขณะเวียนว่ายตายเกิดเป็นพระโพธิสัตว์นั้น
๑. ทรงสะสมบารมีครบบริบูรณ์ ๑๐ ประการ ทั้ง ๓ ระดับ เรียกว่า บารมี ๓๐ ทัศ และกระทำปัญจมหาบริจาค การบริจาคที่ยิ่งใหญ่ ๕ ประการ ได้แก่ ทรัพย์ บุตร ภรรยา กายและชีวิต
๒. ระยะเวลาในการบำเพ็ญบารมียาวนาน ๒๐ อสงไขยแสนมหากัป กัปหนึ่งเท่ากับอายุของโลก ตั้งแต่เกิดจนถูกทำลายครั้งหนึ่ง
๓. พระชาติสุดท้ายก่อนตรัสรู้จะทรงบังเกิดเป็นเทพบุตรอยู่สวรรค์ชั้นที่ ๔ ชื่อว่า ดุสิต เมื่อได้เวลาอันสมควร เหล่าเทวดาและพรหมในหมื่นจักรวาลจะมาทูลอ้อนวอนให้จุติมาอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกมนุษย์
๔. ก่อนทรงรับคำทูลขอร้อง ต้องทรงพิจารณามหาวิโลกนะทั้ง ๕ ประการ ในโลกมนุษย์ที่จะมาจุติบังเกิดเสียก่อน มหาวิโลกนะ ๕ มีความสมควรครบถ้วนแล้วจึงจุติ ได้แก่
๔. ๑ กาล คือ อายุขัยของมนุษย์ต้องอยู่ในระหว่าง ๑๐๐ ปี ถึง ๑ แสนปี ไม่น้อยกว่าร้อยและไม่เกินกว่าแสน เพราะขณะเวลาในโลกมนุษย์ที่มนุษย์มีอายุขัยต่ำกว่า ๑๐๐ ปี มนุษย์มีกิเลสครอบงำใจมาก มีปัญญาน้อย สอนให้รู้อริยสัจได้ยากยิ่ง
๔. ๒ ทีปะ คือ ทวีปหรือโลกมนุษย์ ในจักรวาลหนึ่งๆ มีโลกมนุษย์ ๔ แห่ง ( ทวีป) จำเป็นต้องเลือกตรัสรู้ในชมพูทวีปเพราะเป็นที่ที่มนุษย์ในโลกนี้มองเห็นทุกข์ได้ง่ายกว่าทวีปอื่น มนุษย์ในชมพูทวีปจิตใจเข้มแข็ง สามารถทำความดีสูงสุดเป็นพระอรหันต์ก็ได้ สามารถทำความเลวสูงสุดถึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกในอเวจีหรือโลกันตร์ได้
๔. ๓ เทสะ ถิ่นแดนที่ทรงบังเกิด เลือกถิ่นแดนที่ผู้คนมีสิ่งแวดล้อมมีความเป็นอยู่ในชีวิตพอประมาณ มีความฉลาด รับฟังคำสอนได้ ความเป็นอยู่ของมหาชนไม่ทุกข์มากเกินไป ไม่สุขมากเกินไป
๔. ๔ กุละ หรือ ตระกูล จะอุบัติในตระกูลที่มนุษย์ยุคนั้นถือว่าเป็นตระกูลประเสริฐสุด เช่น ตระกูลกษัตริย์ หรือ พราหมณ์
๔. ๕ ชเนตติอายุปริจเฉท มีผู้มีบุญสมควรเป็นพุทธมารดา คือ ต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่โลเลในบุรุษ บำเพ็ญบารมีมาตลอดแสนกัป