ศาสนาแห่งสากลจักรวาล
จุดเปลี่ยนชีวิต
แรกเริ่มเดิมทีอาตมภาพก็เหมือนกับเด็กไทยโดยทั่วไป ที่รู้จักพระพุทธศาสนาจากการเรียนวิชาศีลธรรมในโรงเรียน รู้ท่องเอาไว้สอบพอสอบเสร็จก็ลืมไปบ้าง แต่ถ้าถามว่าเคยนำไปใช้บ้างไหม ก็ต้องตอบว่าใช้บ้างไม่ใช้บ้าง ศีล 5 ก็แทบจะไม่เคยรักษาอย่างจริงจัง
ต่อมาเกิดจุดเปลี่ยนในชีวิตคือ ตอนเรียนอยู่มัธยมปลาย มีโอกาสเข้ารับการอบรม ธรรมทายาทภาคฤดูร้อน ที่วัดพระธรรมกาย วันที่มาวัดเป็นครั้งแรกก็คือวันที่อบรมธรรมทายาท ที่สมัครมาอบรมเพราะเห็นว่ามีการฝึกสมาธิจึงเกิดความสนใจ
ในยุคนั้นเมื่อเข้าอบรมแล้วหลวงพ่อท่านก็ให้นั่งสมาธิทั้งช่วงเช้ามืด สาย บ่าย ค่ำ วันละราว 8 ชั่วโมง หลังนั่งสมาธิรอบค่ำจึงเทศน์สอน หากมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามได้ เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วัน ทำให้รู้ว่า คำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ลุ่มลึก และมีประโยชน์ต่อชีวิตมาก ในด้านธรรมปฏิบัตินอกจากจะเป็นหนทางตรงสู่การบรรลุธรรมแล้ว ประโยชน์ที่เห็นได้ทันทีคือทำให้ใจสงบ ใจสบาย และผลที่ประจักษ์ชัดในฐานะที่เป็นนักเรียนอยู่ ก็คือ การเรียนดีขึ้นมาก ที่สามารถเข้าคณะแพทย์ฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ ก็เป็นอานิสงส์ผลดีจากการได้ฝึกสมาธิในการอบรมธรรมทายาทนี้เอง
ส่วนประโยชน์ในด้านภาคปริยัตินั้น ทำให้เข้าใจการนำหลักธรรมไปใช้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากเวลานั้นหลวงพ่อท่านเปิดโอกาส ให้ถามได้เต็มที่ แล้วคำสอนคำตอบของท่านก็ล้วนเป็นเหตุเป็นผลที่เราในฐานะคนยุคใหม่ฟังแล้วรับได้
คนทั่วไปมักสงสัยว่า นรก สวรรค์ มีจริงไหม การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่ กฎแห่งกรรมมีจริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำขู่ไม่กล้าให้เราทำบาปเท่านั้น การระลึกชาติมีจริงไหม แล้วเราจะระลึกชาติได้อย่างไร? ซึ่งโดยทั่วไปก็หาคำตอบชัดๆ ได้ยาก แต่หลวงพ่อท่านสามารถให้ความกระจ่างแก่เราได้ชัดเจน
ขอยกตัวอย่าง เมื่อถามว่ากระระลึกชาติทำได้จริงหรือ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่าทำได้จริง แถมถามกลับว่าใครอยากจะระลึกชาติได้บ้าง คืนนี้จะให้ระลึกชาติได้ทุกคนเลย
ท่านอธิบายเปรียบเทียบว่า หากคืนนี้ฟ้าโปร่งแล้วเราไปอยู่กลางแจ้ง มองไปบนฟ้าจะเห็นดาวเต็มฟ้า ถามว่าดาวที่เรามองเห็นอยู่นั้น ขณะนี้มีอยู่จริงหรือไม่ คนทั่วไปตอบว่า “ มีจริง ” เพราะเห็นอยู่กับตาขณะนั้น
แต่จริงๆต้องตอบว่า “ ไม่แน่ ” เพราะถึงเราเห็นกับตาก็ยังไม่แน่ว่าขณะนี้มีอยู่จริงหรือไม่ เนื่องจากถามว่าเราเห็นดาวเพราะอะไร ก็เพราะว่าแสงจากดาวดวงนั้นวิ่งมาเข้าตาเรา แล้วส่งสัญญานไปยังสมองและใจของเรา เกิดกระบวนการรับภาพ เราจึงเห็นภาพของดวงดาวนั้น
ดาวที่เราเห็นบนฟ้าส่วนใหญ่เป็นดาวฤกษ์ที่มีแสงสว่างในตัวเอง และดาวฤกษ์ที่อยู่ใกล้โลกที่สุด ยกเว้นดวงอาทิตย์เป็นดาวในกลุ่ม อัลฟา เซนทอรี (Alpha Centauri) อยู่ห่างจากโลกประมาณ 3-4 ปีแสง ขณะที่เราเห็นมีประกายวาบซึ่งเกิดจากการระเบิดบนดวงดาวนั้น จริงๆ เป็นเหตุการณ์ระเบิดเมื่อ 3 ปีเศษที่แล้ว แต่ภาพเหตุการณ์นั้นพึ่งเดินทางมาถึงตาเรา แล้วดาวฤกษ์บางดวงห่างจากโลกตั้งพันปีแสง ล้านปีแสง พันล้านปีแสงก็มี
ขณะที่เราเห็นมีประกายวับวาวบนดวงดาวนั้น จริงๆแล้ว เป็นการระเบิดที่เกิดขึ้น เมื่อพันปีที่แล้ว ล้านปีที่แล้ว หรือพันล้านปีที่แล้ว แต่ภาพเหตุการณ์พึ่งเดินทางมาถึงตาเรา ขณะนี้ดวงดาวนั้นอาจจะเกิดการยุบตัวจนกลายเป็นดาวนิวตรอน หรือกลายเป็นหลุมดำไปแล้วก็ได้ ดังนั้นที่เราเห็นบนท้องฟ้าก็คือ “ อดีต ” ทั้งนั้น
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นแล้วมันไม่ได้หายไปไหน ภาพเหตุการณ์นั้นจะวิ่งไปเรื่อยๆ ขอเพียงเราสามารถเดินทางไปดักข้างหน้า ด้วยระยะทางที่แสงเดินทาง 1 ปี เราก็จะเห็นภาพเหตุการณ์เมื่อ 1 ปีก่อนได้ ถ้าไปดักที่ระยะทางที่แสงเดินทาง 1 ล้านปี เราก็จะเห็นเหตุการณ์เมื่อล้านปีที่แล้ว
หากถามว่าอะไรเร็วกว่าแสง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 กล่าวไว้ว่า “ แสงเดินทางเร็วที่สุด ” แต่มีอย่างหนึ่งเร็วกว่าแสง คือ “ ใจคน ” เรานึกถึงอะไรก็ได้โดยไม่จำกัดด้วยระยะทางและเวลา แต่ใจที่จะไปถึงสิ่งนั้นได้ ต้องเป็นใจที่เป็นสมาธิ ตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน แน่วแน่ในฌานสมาบัติจนอภิญญาเกิดขึ้น จึงสามารถระลึกชาติได้นั่นเอง แล้วท่านก็ตบท้ายว่า นี้เป็นการอธิบายเปรียบเทียบพอให้เข้าใจเท่านั้น การระลึกชาติจริงๆ มีความละเอียดลึกซึ้ง ต้องลงมือปฏิบัติธรรมจริงจังจึงจะเข้าถึงได้
ที่กล่าวมานี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่อธิบายหลักธรรมของหลวงพ่อท่าน เมื่อเราฟังแล้วก็รู้สึกว่ารับได้ เพราะมีเหตุผลตรองตามได้ หลวงพ่อท่านพยายามให้แง่คิดในมุมมองต่างๆ ที่เกี่ยวกับหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อเป็นตัวช่วยให้เราได้มีความคิดในแง่ที่เป็นมุมบวกแล้วท่านก็ปฏิบัติให้เราเห็นเป็นแบบอย่างว่าทำได้จริง มีพยานบุคคลในการพิสูจน์ และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผล เมื่อสงสัยก็สามารถถามได้เลย ซึ่งเป็นการสอนที่ทำให้เกิดความประทับใจ และรู้สึกซาบซึ้งในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าประเสริฐยิ่ง นำไปใช้แล้วชีวิตดีขึ้นได้จริง แก้ไขปัญหาสังคมได้ แก้ปัญหาของโลกได้ เมื่อเรียนจบอาตมภาพจึงได้เลือกเส้นทางชีวิตมาบวช
เหตุที่ตัดสินใจบวช
หลังการอบรมธรรมทายาท ในระหว่างเรียนที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และต่อมาที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาตมภาพตั้งใจช่วยงานชมรมพุทธฯ เพราะคิดว่าเรามีโอกาสได้ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ดีอย่างนี้ เพราะหลวงพ่อและรุ่นพี่ๆ ท่านเสียสละเหนื่อยยากสร้างวัด สู้อดทนอบรมสั่งสอนเรา เมื่อเราเริ่มรู้แล้วก็น่าจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ทราบบ้าง จึงตัดสินใจช่วยงานชมรมพุทธฯ แนะนำเพื่อนๆ นิสิตนักศึกษาและเยาวชนให้เข้าวัดปฏิบัติธรรม
เมื่อเรียนจบ ถามว่าเลือกเดินทางไหน ซึ่งมีอยู่ 2 ทางให้เลือก คือ (1) เป็นหมอ (2) บวชตลอดชีวิต จึงมองว่าถ้าเป็นหมอ ในแง่ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจนั้นดี เพราะมีรายได้ที่ค่อนข้างมั่นคงและได้รับการยกย่องจากสังคม แต่ถ้ามองดูประโยชน์ทั้งสองทางตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอน คือประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวมแล้ว ในแง่ของประโยชน์ส่วนตนนั้น การบวชดีกว่าอย่างแน่นอน เพราะเมื่อได้ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมก็ทราบแล้วว่า ตราบใดที่มนุษย์ยังไม่หมดกิเลส ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปตามแรงบุญแรงบาปตลอดไป ไม่มีหลักประกันว่าเป็นหมอหรือเศรษฐีแล้วจะต้องทำดีโดยตลอด ไม่ตกนรก รับประกันได้เพียงว่าจะมีความสะดวกด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้าเรามาบวชและปฏิบัติธรรม ชีวิตก็จะปลอดกังวลด้วยเรื่องครอบครัว สามารถใช้เวลาในการทำความดีได้อย่างเต็มที่ ถึงแม้จะยังไม่หมดกิเลสในชาตินี้ ก็สามารถทำให้เบาบางลง และใกล้ต่อหนทางพระนิพพานมากขึ้น ส่วนในแง่ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเราเป็นหมอ แม้ไปอยู่ในชนบทที่ขาดแคลนแพทย์ วันหนึ่งเราจะรักษาคนไข้ได้กี่คน ถ้าโรคเล็กๆน้อยๆ เช่น ปวดหัว ตัวร้อน ปวดท้อง เป็นหวัด ก็อาจจะรักษาได้สัก 100 คน แต่ถ้าผ่าตัดก็แค่ 3-4 คน ก็หมดเวลาแล้ว
แล้วแต่ละคนปีหนึ่งป่วยกี่ครั้ง รักษาเขาหายดีแล้วเขาจะเป็นคนดีหรือคนร้ายเราก็ไม่รู้ เพราะรักษาได้แต่กาย แล้วคนๆหนึ่งตั้งใจทำดีเท่าไร ถ้าเราทำคนเดียวก็ทำได้จำกัด เพราะวันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง เราก็มีสองมือเท่านั้น แต่ถ้าเรามาบวชตั้งใจปฏิบัติธรรม ฝึกตนเองแล้วสอนคนให้เป็นคนดี ให้เกิดคนดีมากๆ แล้วช่วยกันทำความดี ขยายเครือข่ายคนดีออกไปเยอะๆ น่าจะมีประโยชน์มากกว่า
สังคมอาจจะขาดแพทย์ไป 1 คน แต่จะได้แพทย์ดีๆ วิศวกร เภสัชกร และบุคลากรในสาขาอาชีพต่างๆ ที่เป็นคนดีกลับไปอีกนับร้อยนับพันคนซึ่งคุ้มค่ากว่ามาก เมื่อพิจารณาเห็นประโยชน์ของการบวชมีมากกว่าการอยู่เป็นแพทย์ต่อไปทางโลก อาตมภาพจึงตัดสินใจบวช
ไขความลับของโลกและจักรวาล ด้วยหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนามีหลักธรรมคำสอนที่ไขความลับของโลกและจักรวาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฎแห่งกรรมและกฎธรรมชาติต่างๆ ขึ้น แต่ว่าพระองค์เป็นผู้ที่ค้นพบความจริง ของกฎธรรมชาติ ความจริงของโลกและชีวิต ทรงรู้ว่าการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องทำอย่างไร แล้วพระองค์ก็ทรงนำความรู้นั้นมาสอนเรา นี่คือคำสอนของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นคำสอนที่เป็นความดีสากล ใครก็ตามที่เปิดใจกว้างมาสัมผัสแล้วจะพบว่าเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่
ยกตัวอย่าง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) ซึ่งกำเนิดมาในศาสนาอื่น แต่สุดท้ายเขาก็กล่าวไว้ว่า ศาสนาแห่งอนาคตจะเป็น “ ศาสนาแห่งสากลจักรวาล ” (Cosmic Religion) ซึ่งผู้ปฏิบัติสามารถมี ประสบการณ์เข้าถึงได้ด้วยตนเอง ไม่ได้อยู่บนความเชื่อที่ไร้ข้อพิสูจน์ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการเรื่องเหตุและผลของนักวิทยาศาสตร์ได้ ศาสนานั้นคือ พระพุทธศาสนา
“ The religion of the future will be a cosmic religion. The religion which is based on experience, which refuses dogmatism. If there is any religion that would cope with the scientific needs it will be Buddhism ”
ไอน์สไตน์มองว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาสากลของโลกเท่านั้น แต่เป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล คือ ในทัศนะของไอน์สไตน์ คำสอนที่เลิศกว่านี้ไม่มีแล้ว ดังนั้นหากมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาในโลกอื่น พูดง่ายๆ ว่าถ้ามีมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวนั้นก็ควรจะนับถือพระพุทธศาสนาด้วย ไอน์สไตน์จึงไม่ใช้คำว่า “ ศาสนาแห่งโลก ” (World Religion) เรียกพระพุทธศาสนา แต่ใช้คำว่า “ ศาสนาแห่งสากลจักรวาล ” (Comic Religion)
แล้วไม่ได้มีไอน์สไตน์คนเดียวเท่านั้น ยังมีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกจำนวนมากที่สนใจศึกษาพระพุทธศาสนาเช่นกัน ในเวลานี้ผู้ที่มีความรู้และมีการศึกษาสูงทางโลกตะวันตก หันมาสนใจศึกษาพระพุทธศาสนา เป็นจำนวนมาก ถึงขนาดที่นิตยสารไทม์ (TIME Magazine) นิตยสารรายสัปดาห์ที่ทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งของโลก พาดหัวข่าวขึ้นหน้าปกว่า ชาวอเมริกันกำลังตื่นตัวสนใจพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งนั่นหมายความว่าเขามองเป็นไปในอนาคตว่า ศาสนาพุทธอาจจะกลายเป็นศาสนาหลักของประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้
สาเหตุที่นิตยสารไทม์ พาดหัวข่าวขึ้นหน้าปกเช่นนี้ เพราะปรากฎว่าคนชั้นนำของชาวอเมริกันจำนวนหลายสิบล้านคนได้หันมาศึกษาพระพุทธศาสนาลงมือฝึกสมาธิอย่างจริงจัง ซึ่งผู้คนนับล้านเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้มีความรู้ มีการศึกษาสูง ต่างลงมือปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ และเอาจริงเอาจัง ทั้งที่คนเหล่านี้ไม่ใช่ชาวพุทธโดยกำเนิด แต่เขาเกิดในสังคมที่นับถือศาสนาอื่น เข้ามาศึกษาพุทธศาสนาเพราะเขาสนใจ เพราะฉะนั้นเขาจึงขวนขวายศึกษากันอย่างจริงจังกระแสนี้เกิดขึ้นทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ในยุโรป รวมทั้งในประเทศที่มีมาตรฐานการศึกษา และมาตรฐานการครองชีพสูง
ต่อไปบุคคลผู้มีความรู้และมีการศึกษาสูงจะยิ่งหันมาศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนามากขึ้น เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสัจธรรมความจริง มีเหตุมีผล สงบเย็น ใครได้สัมผัสย่อมยอมรับอย่างไม่มีข้อกังขา
เราชาวพุทธต้องถามตัวเองกันแล้วว่า ในเมื่อพวกเราทุกคนเป็นคนโชคดี เกิดมาเป็นชาวพุทธแต่กำเนิด แล้วเราได้ใช้ความมีโชคของเรานั้น ศึกษาและปฏิบัติธรรมคุ้มสมกับที่เป็นชาวพุทธแล้วหรือยัง อย่าให้ถึงขนาดที่ว่า ในอนาคตเมื่อเราอยากรู้เรื่องพระพุทธศาสนาต้องไปศึกษาจากคนที่ถือกำเนิกจากศาสนาอื่นแต่เขาหันมาศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง จะกลายเป็น “ ใกล้เกลือกินด่าง ”
-----------------------------------------------------------------------
หนังสือเล่ม "เพราะไม่รู้สินะ" โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ
"จะทนทุกข์ไปทำไม ในเมื่อคุณสามารถลิขิตชีวิตตนเองได้ เพียงเปลี่ยนวิธีคิด ลองมองโลกในอีกมุมที่ต่างไป ลองเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต คุณอาจได้คำตอบว่า ความสุขนั้นหาได้ง่ายๆ ถ้าคุณคิดได้และคิดเป็น"
วางแผงจำหน่ายแล้วที่
ซีเอ็ดบุ๊ค
https://www.se-ed.com/product-search/เพราะไม่รู้สินะ.aspx?keyword=เพราะไม่รู้สินะ&search=name
ร้านนายอินทร์
https://www.naiin.com/product/detail/141416/เพราะไม่รู้สินะ
Book Smile
http://www.booksmile.co.th/ศาสนา-ปรัชญา/เพราะไม่รู้สินะ.html