ใจเรา.....ไม่ธรรมดา
ทำไมบางคนพิการมาตั้งแต่กำเนิด ทำไมบางคนตอนเกิดไม่พิการ แต่มาพิการเพราะอุบัติเหตุ พระพุทธศาสนาอธิบายสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างไร ?
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ผลทุกอย่างย่อมเกิดมาจากเหตุ จะเป็นความพิการแต่กำเนิดก็ตาม หรือพิการภายหลังจากเหตุต่างๆ ก็ตามล้วนแต่มีที่มาที่ไปทั้งสิ้น ถ้าพิการเพราะเกิดอุบัติเหตุในปัจจุบัน เราจะเห็นว่าอุบัติเหตุนั้นเกิดจากสาเหตุอะไร เช่น เกิดจากความประมาท ซึ่งเบื้องหลังความประมาท มันก็ยังมีเหตุในอดีตที่เกิดจากผลของวิบากกรรมด้วย
วิบากกรรมหลักที่เป็นสาเหตุให้พิการ มี 2 ข้อคือ
1. เกิดจากกรรมปาณาติบาต คนที่ทรมานสัตว์ แกล้งสัตว์จนสัตว์พิการ ก็จะส่งผลให้ชาตินี้พิการ เช่น สมัยเด็กๆ จับแมลงปอมาเอาใบสนเสียบก้น ให้มันบินไปแล้วมีใบสนห้อยอยู่ แบบนี้อีกหน่อยก็อาจเป็นโรคริดสีดวงทวารได้
บางคนชอบตกปลาเล่นสนุก พอตกได้ก็แกะเบ็ดออกแล้วปล่อยปลาไป ลองคิดดูว่าถ้าเราโดนเบ็ดเกี่ยว เข้าเนื้อเราเจ็บไหม แล้วถ้ามีใครมาเกี่ยวเบ็ดเข้าปากเราห้อยร่องแร่งเราจะรู้สึกอย่างไร เราเจ็บ ไปทำกับปลาปลาก็เจ็บ นี่คือสาเหตุของโรคปากแหว่ง โรคทางปากทางจมูก ก็จะเกิดจากวิบากกรรมแบบนี้
ถ้าเราไปทำเขาหนักๆจนแขนขาด ขาขาด บางคนเอาปลามากัดกัน เอาไก่มาตีกัน บางทีมันกัดกันเกือบตาย บางครั้งมันก็พิการ แบบนี้เราก็จะมีวิบากกรรมตรงนั้นเข้าไปด้วย เดี๋ยวนี้ตีไก่ธรรมดาไม่ถึงใจ ต้องติดเดือยเหล็กให้มันด้วย เดือยเหล็กมันคมบางครั้งก็ทำให้ไก่พิการถึงตาย
วิบากกรรมจะตามมาส่งผลเราในชาติถัดๆไป นี่คือข้อแรกเรื่องกรรม ปาณาติบาต เมื่อใดก็ตามที่เราไปทำให้สัตว์อื่นต้องพิการ เมื่อนั้นพึงระลึกว่าเราจะต้องไปรับวิบากกรรมตรงนั้นเหมือนกัน ไม่ใช่แค่ชาติเดียวแต่อีกหลายภพหลายชาติ เพราะฉะนั้นอย่าคิดแค่เอาสนุกชั่วครั้งชั่วคราว แต่ให้เอาสาระความจริงของกฎแห่งกรรม ตรงนี้เป็นตัววัด แล้วหลีกเลี่ยงอย่าไปทำ
แม้ไม่ได้ทำเอง เป็นกองเชียร์ก็ไม่ได้ เขาตีไก่แล้วเราไปเชียร์ก็เป็นวิบากกรรม แม้จะไม่หนักเท่าเจ้าของไก่ หรือบ่อนไก่ แต่ก็มีส่วนในกรรมนั้น นักมวยที่เขาชกกัน เราอย่านึกว่าแค่เชียร์นิดหน่อยไม่เป็นไร เรื่องของวิบากกรรมนี้ประมาทไม่ได้
เราไปเชียร์เขาชกกัน พอวิบากกรรมตามทัน บางทีเราไม่มีเรื่องอะไรกับใคร เดินๆไปอยู่ๆ คนอื่นเขาหมั่นไส้ขึ้นมาก็ชกเลย ที่เป็นแบบนี้เกิดจากในอดีตเราเคยไปเชียร์คนให้ไปชกคนอื่นเขา เพราะฉะนั้นอย่าประมาท
2. เกิดจากวจีกรรม คือ ไปแหย่ไปล้อเลียนเขา บางทีทำท่าทางล้อเลียนด้วย วิบากกรรมเลยตามมาส่งผล มีตัวอย่างจริงเกิดขึ้นมาแล้ว ในครั้งพุทธกาล มีหญิงกำนัลของพระนางสามาวดีคนหนึ่ง ชื่อว่า นางขุชชุตตรา เป็นหญิงหลังค่อม นางกำนัลคนนี้ปกติทุกวันจะทำหน้าที่ไปซื้อดอกมะลิ โดยรับทรัพย์จากพระราชา แล้วไปซื้อดอกมะลิมามอบให้พระนางสามาวดี ทุกวันนางจะอมเงินเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ซื้อดอกไม้แค่ครึ่งเดียว วันหนึ่ง บังเอิญนายช่างมาลาการ คือ ช่างทำดอกไม้ได้บอกกับนางว่า วันนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาที่นี่ ให้นางอยู่ช่วยเลี้ยงพระกันก่อน นางก็เลยอยู่ช่วยจนเสร็จงาน ได้มีโอกาสฟังธรรม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจนบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน
เมื่อเป็นพระโสดาบันจะมีศีลห้าครบบริบูรณ์จึงเลิกเม้มเงิน ซื้อดอกมะลิได้ครบตามจำนวนเงินที่ได้รับมา ก็นำกลับไปถวายให้กับพระนางสามาวดี อัครมเหสีของพระเจ้าอุเทน
พระนางได้รับดอกมะลิก็แปลกใจว่า ทำไมวันนี้ดอกมะลิมากกว่าปกติเท่าตัว เลยถามนางกำนัลว่า “ เดี๋ยวนี้พระราชาพระราชทานทรัพย์มามากกว่าปกติหรือ ” นางขุชชุตตราเป็นพระโสดาบันแล้วจึงไม่โกหกตอบตามตรงบอกว่า “ เปล่าเพคะ ปกติข้อพระองค์จะเม้มไว้ครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้ซื้อเต็มจำนวนเงินเลยได้ดอกมะลิมากกว่าปกติ ” พระนางสามาวดีฟังแล้วก็ขำ ถามต่อว่า “ แล้ววันนี้ทำไมถึงไม่เม้มล่ะ ” นางขุชชุตตราก็บอกว่า “ วันนี้ข้าพระองค์ได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เลยไม่เม้มเงินแล้ว ”
พระนางสามาวดีพอได้ฟังดังนั้น ด้วยความที่ได้สร้างบุญมามากจึงอยากจะฟังธรรมบ้างเลยบอกว่า “ ขอให้เธอช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าพระองค์สอนว่าอย่างไร ” นางขุชชุตตราบอกว่า “ ได้เพคะ แต่ธรรมะเป็นของสูง หากจะต้องแสดงธรรมแล้ว ขอชำระร่างกายให้สะอาดสะอ้านก่อนและจะต้องนั่งบนธรรมาสน์สูงถึงจะแสดงธรรมได้ ” พระนางสามาวดีตกลง นางขุชชุตตราอาบน้ำชำระร่างกายจนเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน นุ่งห่มด้วยผ้าเนื้อดีเสร็จเรียบร้อย ขึ้นธรรมาสน์นั่งที่สูง แม้เป็นนางกำนัลรับใช้ แต่ว่าเมื่อแสดงธรรม ก็ต้องเคารพในธรรม พระนางสามาวดีและหญิงกำนัลอื่นต้องนั่งที่ต่ำกว่า
ในโบสถ์เวลาพระสวดปาติโมกข์ก็ดี ในศาลาการเปรียญเมื่อพระขึ้นธรรมาสน์เทศน์ก็ดี อาสนะจะยกสูงกว่าเจ้าอาวาส เพราะถือว่ากำลังแสดงธรรม ของพระพุทธเจ้า ต้องให้ความเคารพในธรรม ธรรมเนียมเป็นอย่างนี้ แต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
พระนางสามาวดี และนางกำนัลอีก 500 นาง ฟังธรรมแล้วก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันทั้งหมด ถือได้ว่าฝีมือการถ่ายทอดของนางขุชชุตตราไม่ธรรมดา ภายหลังพระพุทธเจ้าได้ทรงยกย่องนางขุตชุตตราว่าเป็นเลิศทางด้านผู้แสดงธรรมฝ่ายหญิงที่ไม่ใช่ภิกษุณี
เหตุที่ทำให้นางขุชชุตตราต้องมาเกิดเป็นหญิงหลังค่อม ทั้งที่มีบุญมากจนบรรลุเป็นพระโสดาบันได้ วิบากกรรมนี้เกิดจากภพในอดีตชาติหนึ่ง นางเป็นหญิงกำนัลรับใช้อยู่ในวัง ได้มีโอกาสใส่บาตรกับพระปัจเจกพุทธเจ้าเกรงว่าพระองค์ถือบาตรจะร้อนมือ เนื่องจากนางหุงข้าวสุกใหม่ๆ นางจึงยอมเสียสละถอดกำไลถวายให้ท่านเอาไว้ใช้รองบาตร ด้วยการที่ใช้ปัญญาในการทำความดี จึงทำให้นางเกิดมาเป็นหญิงที่ฉลาด มีปัญญาเป็นเลิศทางการแสดงธรรม
แต่ขณะเดียวกันพระปัจเจกพุทธเจ้าพระองค์นั้น ท่านเป็นผู้ที่หลังค่อม นางเผลอไปล้อเลียนท่านว่าเป็นคนหลังค่อม แล้วก็ทำเล่นกับเพื่อนบอกเพื่อนว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าปกติมีท่าทางเดินอย่างนี้ๆ ไปแสดงท่าทางล้อเลียนเข้า วิบากกรรมนั้นทำให้เกิดมาหลังค่อมทุกชาติ เพราะไปล้อเลียนผู้มีคุณธรรมสูง
แล้วทำไมนางจึงมาเกิดเป็นหญิงรับใช้ เป็นเพราะภพชาติหนึ่งนางเกิดมาเป็นลูกเศรษฐี วันหนึ่งนั่งแต่งตัวอยู่หน้ากระจก มีพระอรหันตเถรีรูปหนึ่งที่รู้จักมักคุ้นกันผ่านมาก็เลยเข้ามาเยี่ยมที่บ้าน พอนางได้เจอก็นมัสการพระคุณเจ้า เสร็จแล้วด้วยความคุ้นเคยนั่นเอง ตนเองกำลังนั่งแต่งหน้าอยู่ ก็วานพระคุณเจ้าช่วยหยิบกระเช้าแต่งหน้านั่นให้หน่อย ใช้พระอรหันตเถรีรูปนั้น พระอรหันตเถรีท่านก็คิดว่า ถ้าเราไม่หยิบให้ธิดาเศรษฐีก็จะผูกโกรธในเรา และเพราะความผูกโกรธในเราเธอย่อมจะตกนรก เพราะท่านเป็นพระอรหันตเถรีแล้ว แต่ถ้าหากเราหยิบให้ เธอก็ต้องไปเป็นคนรับใช้คนอื่นเขาอีกหลายชาติ แต่การเป็นหญิงรับใช้ย่อมดีกว่าการตกนรก คิดอย่างนี้แล้วอาศัยความเอ็นดู ในธิดาเศรษฐี จึงหยิบกระเช้าข้าวของส่งให้ วิบากกรรมนี้ทำให้ธิดาเศรษฐีต้องเกิดเป็นหญิงรับใช้เขาหลายชาติเลย จนถึงชาตินี้ก็ยังเป็นนางกำนัลรับใช้ในวัง เราจึงไม่ควรมองข้ามกรรม แม้แต่เรื่องเล็กน้อย
เพราะฉะนั้นเหตุแห่งความพิการสรุปโดยย่อหลักๆ มี 2 ประการคือ1. กรรมปาณาติบาตในอดีต ที่เคยทรมานสัตว์ 2. วจีกรรม กรรมที่เกิดจากการพูดล้อเลียนคนอื่น เมื่อเราเห็นใครเขามีข้อบกพร่องอย่างไรก็ให้มีแต่ความเห็นใจ อย่าไปล้อเลียน ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำก็ตาม
เราจะใช้ชีวิตอยู่กับความพิการให้มีความสุขได้อย่างไร ?
โดยส่วนตัวชอบคำคมของ พระครูปลัดสุวิทย์ สุวิชฺชาโภ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายประโยคหนึ่ง
ท่านกล่าวไว้ว่า “ ฟ้านั้นคล้ายหม่นหมอง เพราะฝุ่นละอองมาบดบัง เราดูฟ้าคล้ายหมอง เพราะมัวมองแต่ฝุ่นบัง ” ท่านใช้คำว่า “ คล้ายหมอง ” จริงๆฟ้าไม่ได้หมอง ฟ้าก็เหมือนเดิมแค่มีฝุ่นละอองเกิดขึ้น เราดูฟ้าหม่นหมอง เพราะมัวมองแต่ฝุ่นบัง เราจะไปดูแต่ฝุ่นทำไม ให้เราดูท้องฟ้า ฟ้ายังใสเหมือนเดิม
ถ้าเราไปจับประเด็นที่เป็นลบ ใจของเราก็จะหมกมุ่นแต่เรื่องลบใจก็หดหู่ซึมเศร้า แต่ถ้ามองทางบวกว่า เมื่อเกิดมาแล้วถึงแม้จะพิการอย่างไรเราก็ยังเป็นคน แล้วก็มองแต่ในทางสร้างสรรค์ เราจะพบว่าโลกยังสดใส ยังสดสวยเหมือนเดิม ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจเรา ถ้าใจเราสู้ มองทางบวก พลังที่จะสู้ชีวิตจะเกิดขึ้น อย่าไปมัวนั่งดูฝุ่น นั่งดูความพิการที่เกิดขึ้น
ขอยกตัวอย่าง สตีเฟน ฮอว์คิง เขาเป็นนักฟิสิกส์ที่ถือว่าเก่งมาก แต่เป็นคนพิการ เดินไม่ได้ เขียนหนังสือก็ไม่ได้ ใช้คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้ ต้องใช้ริมฝีปากในการสื่อสาร ถึงแม้จะพิการแต่เขาก็ยังสามารถใช้สติปัญญาตนเอง จนกระทั่งกลายเป็นนักวิชาการ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องว่า เป็นนักฟิสิกส์ที่เก่งที่สุดของโลกในยุคปัจจุบัน คนแม้พิการถ้าใจไม่พิการเสียอย่างไรก็ชนะได้
เราควรจะปฏิบัติกับคนที่พิการอย่างไร ?
การเห็นใจคนพิการนั้นดี แต่ต้องระวังอย่าไปบอกเขาว่าเราสงสารเขา แต่เราต้องเข้าใจและเอื้อเฟื้อเขา ในต่างประเทศเขาจะพยายามอำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ เช่น ปุ่มลิฟต์ จะมีปุ่มนูนๆ สำหรับคนตาบอดใช้ เอามือคลำแล้วจะรู้ว่าเป็นชั้นไหน จะได้กดปุ่มได้ถูก สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ทางเดินก็จะมีปุ่มนูนขึ้นมา คนตาบอดจะได้ใช้ไม้เท้าเคาะ สามารถช่วยเหลือตนเอง ข้ามถนนไปนั่นมานี่ได้ คือ เราต้องให้การสนับสนุนเขาในเรื่องการอำนวยความสะดวก เพื่อให้คนพิการสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ให้เขายืนหยัดอย่างภาคภูมิใจในตัวของเขาเอง
ทำอย่างไรจึงจะสามารถหลีกหนีวิบากกรรมที่เคยทำเอาไว้ในอดีตชาติ และคนที่พิการในชาตินี้จะมีวิธีป้องกันอย่างไร เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเกิดมาพิการอีก ?
ถ้าเราเป็นคนแข็งแรงไม่พิการอยู่แล้ว ก็อย่าไปทำเหตุที่จะทำให้พิการ ขณะเดียวกันถ้าใครที่พิการแล้ว หรือไปเจอคนที่พิการก็สามารถให้คำแนะนำเขาได้ว่า แม้เราพิการก็ยังถือว่าประเสริฐกว่าสัตว์อื่นทั้งหมด
แม้เสือ ช้าง กวาง เก้ง ที่มีร่างกายกำยำครบสมบูรณ์ทุกส่วนก็ยังสู้มนุษย์ที่พิการไม่ได้ เพราะมนุษย์ที่พิการยังมีโอกาสนั่งสมาธิ บรรลุธรรมได้ แต่สรรพสัตว์ทั้งหลายเว้นจากมนุษย์แล้ว ต่อให้แข็งแรงเท่าไรก็ตาม ก็มีแต่กำลังกายไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ดังนั้น ให้เราภูมิใจในสิ่งดีสิ่งประเสริฐ ที่เราเป็นเจ้าของ ก็คือกายมนุษย์ ให้ใช้โอกาสที่ได้กายมนุษย์นี้ ให้เกิดประโยชน์ เต็มที่ด้วยการสร้างบุญ สร้างกุศล โดยเฉพาะการทำสมาธิ ภาวนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด ถ้าเอาจริงแล้วเราสามารถปฏิบัติจนบรรลุธรรม ก็เท่ากับว่าเราเกิดมาชาตินี้ แม้พิการแต่ได้ประโยชน์จากกายมนุษย์ ที่พิการนี้ โชคดียิ่งกว่ามนุษย์ร่างกายดีๆ แต่ไม่ประพฤติธรรม อีกนับพันล้านคนทั่วโลกเสียอีก
------------------------------------------------------------------
หนังสือของสำนักพิมพ์ ทันโลกทันธรรม โดยพระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ
http://www.tltpress.com/
วางแผงจำหน่ายแล้วที่ร้านหนังสือ
ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ , นายอินทร์ , ศูนย์หนังสือจุฬา , คิโนะคุนิยะ , บุ๊คสไมล์ ฯลฯ