การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นการยาก
การเสด็จอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในโลกนี้ ย่อมเป็นการยากอย่างยิ่ง ที่เป็น เช่นนี้ก็เพราะว่าบุคคลที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องเป็นบุคคลผู้มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่สุดประมาณ ที่เห็นวัฏสงสาร นี้เป็นเหมือนคุกแห่งความทุกข์ ที่กักขังสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะต้องใช้เวลายาวนานมาก กว่าจะเจอบุคคลเช่นนี้ แต่เมื่อบุคคลเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วในโลก ก็ยังจะต้องใช้เวลาอีกยาวนานในการสร้างสมบ่มบารมีสืบเนื่องมาโดยลำดับ จนกว่าบารมีจะบรรลุถึงความสมบูรณ์ทุกประการ จึงจะมาอุบัติตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก่อนจะมาบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็เคยเกิดมาเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับพวกเรา พระองค์ก็ทรงลองผิดลองถูก เพื่อค้นหาหนทางพ้นทุกข์มาโดยตลอด ซึ่งในบางครั้งพระองค์ก็ได้พลาดพลั้งทำบาปอกุศลบ้าง จึงต้องวนเวียนอยู่ในทุคติภูมิเป็นเวลายาวนาน ทำให้ระยะเวลาในการสร้างบารมีนั้นยาวนาน ยืดเยื้อออกไป แต่เมื่อพระองค์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้มาสร้างบารมีอย่างเต็มที่ จนสามารถที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ที่ต้องการจะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากคุกแห่งทุกข์นี้ไปด้วย ดังที่ได้ตั้งความปรารถนาไว้ตั้งแต่เริ่มคิดสร้างบารมีเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้สร้างสมบ่มบารมีมาเป็นเวลายาวนาน ต้องใช้ความพากเพียรพยายามและกำลังใจเป็นอย่างมาก รวมกับความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะสร้างบารมีเพื่อมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยที่ไม่ได้ท้อถอยในระหว่างหนทางการสร้างบารมี แม้จะต้องเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จนในที่สุดก็สามารถมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ออกจาก วัฏสงสารไปสู่พระนิพพานได้สำเร็จตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ในการสร้างบารมี
การมาบังเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก เพื่อฝึกฝนอบรมตนเองให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ สั่งสมบารมีให้บรรลุถึงความสมบูรณ์ทุกประการ สั่งสมความเป็นครูของโลก เพื่อจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นไปด้วย เพราะพระองค์ไม่ได้เกิดมาเพื่อตนเองเพียงคนเดียว แต่เกิดมาเพื่อที่จะยกตนและสรรพสัตว์ให้พ้นจาก วัฏสงสารนี้ให้ได้ ดังพุทธดำรัสที่ว่า
“ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้เป็นเอกเมื่อเกิดขึ้นในโลกย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก…. เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย…. ความปรากฏแห่งบุคคลผู้เป็นเอกหาได้ยากในโลก …. บุคคลเป็นเอกเมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้น เป็น อัจฉริยมนุษย์…. กาลกิริยาของบุคคลผู้เป็นเอกเป็นเหตุแห่งความเสียใจของคนเป็นอันมาก …. บุคคลผู้เป็นเอก…. ย่อมเกิดขึ้นเป็นผู้ไม่มีที่สอง ไม่มีใครเช่นกับพระองค์ ไม่มีใครเปรียบ…. เป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ทั้งหลาย…. ความปรากฏแห่งบุคคลผู้เป็นเอกเป็นความปรากฏแห่งจักษุใหญ่ แห่งแสงสว่างใหญ่ แห่งความรุ่งโรจน์ใหญ่ แห่งอนุตตริยะ 6 เป็นการกระทำให้แจ้งปฏิสัมภิทา 4 เป็นการแทงตลอดธาตุเป็นอันมากและธาตุต่างๆ เป็นการทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผล บุคคลเป็นผู้เอกเป็นไฉน คือพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”17)
ดังพุทธดำรัส จะเห็นได้ว่า การอุบัติขึ้นในโลกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ถึงแม้จะมาบังเกิดขึ้นได้เพียงครั้งละพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่สามารถมาตรัสรู้ได้คราวละมากกว่าหนึ่งพระองค์ แต่การมาตรัสรู้ของพระพุทธองค์ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลและนำความสุขมาให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างมากมาย เพราะเมื่อเสด็จอุบัติตรัสรู้ในโลกแล้ว ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เกิดปัญญา เข้าใจความจริงอย่างที่พระองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริงได้แล้ว เพื่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายออกจากวัฏสงสาร ไปสู่พระนิพพาน พ้นจากทุกข์ทั้งปวงตามความปรารถนาที่ตั้งใจไว้ จึงทำให้พระองค์ทรงเป็นเอกบุคคล ที่ไม่มีใครเสมอเหมือนในทุกๆ ด้าน18)
นอกจากนี้ ยังทำให้โลกได้อนุตตริยะ คือ ได้สิ่งที่ยอดเยี่ยม 6 อย่าง ได้แก่
ทัสสนานุตตริยะ การเห็นยอดเยี่ยม คือ การได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สวนานุตตริยะ การฟังยอดเยี่ยม คือ การได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ลาภนุตตริยะ การได้ยอดเยี่ยม คือ การได้ศรัทธาเชื่อในคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สิกขานุตตริยะ การศึกษายอดเยี่ยม คือ การได้ฝึกหัดตนตามหลักไตรสิกขา
ปาริจริยานุตตริยะ การรับใช้ยอดเยี่ยม คือ การได้รับใช้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการฝึกหัดตนตามหลักไตรสิกขา
อนุสสตานุตตริยะ การหมั่นระลึกถึงยอดเยี่ยม คือ การหมั่นระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายทำให้แจ้งปฏิสัมภิทา 4 จึงทำให้แทงตลอดธาตุต่างๆ เป็นอันมาก คือ การรู้และเข้าใจได้ถูกต้องในเรื่องของธาตุที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นชีวิตมนุษย์และสัตว์ในภพภูมิต่างๆ ได้ครบถ้วน จนทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้บรรลุผลญาณ คือ โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลและอรหัตตผล การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในแต่ละครั้งนั้น ย่อมเป็นสภาพที่เป็นไปได้โดยยาก ต้องใช้เวลาอย่างยาวนาน จึงจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้สักพระองค์หนึ่ง เพราะว่าท่านเป็นบุคคลพิเศษ ที่ได้สั่งสมบารมีเพื่อจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ซึ่งกว่าที่จะทรงค้นพบทางสายกลาง หรือที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ที่เป็นทางเอกสายเดียวและเป็นความยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรง ค้นพบและปฏิบัติได้รับผลสำเร็จเรียบร้อยแล้วนั้น จะต้องอาศัยความเพียรพยายามและกำลังใจอย่างมากด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ถึงแม้ระยะเวลาในการสร้างบารมีจะยาวนานเพียงใด กว่าบารมีจะสมบูรณ์พร้อมทุกประการ ก็ไม่ได้ท้อถอยในระหว่างการสร้างบารมี บุคคลนั้นก็จะมาอุบัติเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วทรงยังประโยชน์เป็นอันมากแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการแนะนำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายรู้จักทางหลีกพ้นจากโอฆสงสาร แล้วไปสู่พระนิพพาน
ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่าบรรดาผู้ที่ทำประโยชน์ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายในภพสามนี้ ผู้ที่จะสามารถทำได้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไม่มี และผู้ที่จะทำประโยชน์อย่างมากมายที่แท้จริงอย่างนี้ หาได้ไม่ง่ายในโลกใบนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงเป็นเอกบุคคล ที่ไม่มีบุคคลใดเสมอเหมือน และเกิดขึ้นได้ยากยิ่งในโลก ดังพุทธดำรัสที่ตรัสการอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นการยากว่า
“ กิจฺโฉ พุทฺธานมุปฺทาโท
การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นการยาก”19)
-------------------------------------------------------------------
17) เอกปุคคลวรรคที่ 13 ว่าด้วยบุคคลผู้เป็นเอก, อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต, มก. เล่ม 32 ข้อ 139-144 หน้า 181.
18) บรรจบ บรรณจุริ, พุทธประวัติ ประสูติ ตรัสรู้, กรุงเทพ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546, หน้า 2.
19) เรื่องนาคราช ชื่อ เอรกปัตตะ, ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท, มก. เล่ม 42 หน้า 329.
GL 204 ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กลุ่มวิชาเป้าหมายชีวิต