พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๐ ที่ตรัสพุทธพยากรณ์
ทรงพระนามว่า พระสุเมธสัมมาพุทธเจ้า
พระสรีระสูง ๘๘ ศอก
อายุขัยของมนุษย์ยุคนั้น ๙ หมื่นปี
ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทัตตะ และพระนางสุทัตตาพระอัครมเหสี แห่งนครสุทัสสนะ
ทรงครองฆราวาสวิสัย เสวยโลกียสุขอยู่ ๙ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ และเมื่อพระอัครชายาสุมนาประสูติพระโอรสปุนัพพะแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์โดยทรงช้างต้น
ทรงใช้เวลานำเพ็ญเพียร ๘ เดือนเต็ม
ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือธิดาของนกุลเศรษฐี แห่งนกุลนิคม
นิสีทนสันถัตกว้าง ๔๗ ศอก สุวัฑฒอาชีวกถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งโคนต้นนีปะ (ต้นกระทุ่ม)
พระอัครสาวกคือ พระสรณะ และพระสัพพกามะ
พระพุทธอุปัฏฐากคือ พระสาคระ
ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง ในครั้งที่สองทรงทรมารยักษ์ชื่อกุมภกรรณ ให้ละทิฏฐิ และถือพระองค์เป็นสรณะด้วย
มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง
เสด้จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ณ พระวิหารเมธาราม พระบรมสารีริกธาตุเฉลี่ยกระจายไปในที่ต่างๆ
อุตตรมานพ
ในพระพุทธกาลนี้พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง เพียรประกอบอาชีพมีทรัพย์ถึง ๘0 โกฏิ เมื่อพบพระบรมศาสดาผู้งดงาม มีพระรัศมีแผ่ออกไปโดยรอบถึง ๑ โยชน์
ส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ เกิดมีความศรัทธาแรงกล้า ครั้นเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ได้สละทรัพย์ทั้งหมดถวายเป็นมหาทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยเหล่าภิกษุ
พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์ว่าชายหนุ่มชื่อ อุตตระผู้นี้ต่อไปภายหน้าอีก ๓ หมื่นกัป จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า โคตมะ
อุตตระมานพได้ฟังพระพุทธพยากรณ์แล้วปลาบปลื้มใจมาก ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ออกบวช แล้วอธิษฐานข้อวัตรบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์ยิ่งยวด อุตส่าห์เล่าเรียนปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรมโดยเคร่งครัดไม่ประมาท บำเพ็ญตบะแรงหล้า บรรลุอภิญญา ๕ เมื่อสิ้นอายุขัยก็ไปสุคติพรหมโลก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๒ ที่ตรัสพระพุทธพยากรณ์
ทรงกระนามว่า พระสุชาตะสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสรีระสูง ๕0 ศอก
อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี
ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอุคคตะ และพระนางประภาวดีพระอัครมเหสีแห่งนครสุมงคล
ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๙ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ เมื่อพระนางสิรินันทาพระอัครชายาประสูติ พระโอรสอุปเสนะแล้ว เสด็จทรงม้าราชพาหนะชื่อหังสวหังเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ มีผู้ออกบวชตามเสด็จ ๑ โกฏิ
ทรงให้เวลาบำเพ็ญเพียร ๙เดือนเต็ม
ผู้ถวายข้าวมธุปายาส คือ ธิดาของสิรินันทนะ เศรษฐีแห่งสิรินันทนนคร
นิสีทนสัตถัตกว้าง ๓๓ ศอก สุนันทอาชีวกเป็นผู้ถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งใต้โคนต้นมหาเวฬุ(ต้นไผ่ใหญ่)
พระอัครสาวกคือ พระสุทัสสนะ และพระสุเทวะ
พระพุทธอุปัฏฐาก คือ พระนารทะ
ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง
สำหรับการแสดงธรรมครั้งที่สอง ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ ที่โคนต้นมหาสาละใกล้ประตูสุทัสสนะราชอุทยาน
มีสาวกสันนิบาตเกิดขึ้น ๓ ครั้ง
เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ที่พระวิหารเสลาราม กรุงจันทวดี พระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสูง ๓ คาวุต(๓/๔ โยชน์)
พระเจ้าจักรพรรดิ
ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราทรงบังเกิดเป้นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงมหิทธานุภาพปกแผ่ไปทั่วทวีปทั้ง ๔ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและรัตนะ ๗ ประการ เมื่อทรงทราบเรื่องพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น จึงเสด็จพร้อมด้วยบริวารไปเข้าเฝ้า เมื่อได้สดับฟังพระธรรมเทศนาก็ทรงปีติยินดีด้วยพระราชศรัทธา จึงถวายจักรพรรดิสมบัติทั้งหมด ไว้นพระพุทธศาสนา ทรงผนวชในสำนักของพระบรมศาสดา
ประชาชนในแว่นแคว้นทั้งหลายมีศรัทธารวบรวมทรัพย์ในชนบทมาจัดถวายปัจจัย ๔ เป็นประจำแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุทั้งปวง พระตถาคตเจ้าตรัสพยากรณ์กาพระโพธิสัตว์ว่า จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตอีก ๓ หมื่นกัป มีพระนามว่า โคตมะ
พระเจ้าจักรพรรดิโพธิสัตว์ได้สดับพระพุทธพยากรณ์ดังนี้แล้ว ยิ่งร่าเริงเบิกบานใจเร่งบำเพ็ญพุทธบารมีให้ยิ่งยวดขึ้นไป ทรงศึกษาพระสูตร พระวินัย และพระปริยัติธรรมทั้งสิ้น ปฏิบัติธรรมโดยเคร่งครัด จนบรรลุอภิญญา ๕ เหาะไปในอากาศได้ สิ้นชีพตักษัยแล้วไปสุคติพรหมโลก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๓ ที่ตรัสพระพุทธพยากรณ์
ทรงพระนามว่า พระปิยทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสรีระสูง ๘0 ศอก
อายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น ๙ หมื่นปี
ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทัตตะ และพระนางสุจันทาอัครมเหสี แห่งนครสุธัญญะ
ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่ ๙ พันปี ทรงเห็นนิมิต ๔ ประการ สลดพระทัย เมื่อพระนางวิมลาพระอัครชายาประสูติพระโอรสกัญจนเวฬะ ได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยราชรถเทียมม้า ข้าราชบริพารที่เป็นบุรุษออกเสด็จตาม ๑ โกฏิ
ทรงใช้เวลาบำเพ็ญเพียร ๖ เดือน
ผู้ถวายข้าวปายาสคือ ธิดาของพราหมณ์วสภะ แห่งบ้านวรุณพราหมณ์
นิสีทนสันถัตกว้าง ๕๓ ศอก โดยสุชาตะอาชีวกถวายหญ้า ๘ กำ ประทับนั่งโคนต้นกกุธะ(ต้นกุ่ม)
พระอัครสาวกคือ พระปาลิตะ และพระสัพพทัสสี
พระพุทะอุปัฏฐากคือ พระโสภิตะ
ทรงแสดงธรรม ๓ ครั้ง
มีสาวกสันนิบาต ๓ ครั้ง
ครั้งที่ ๒ และ ๓ เกิดพร้อมกับการแสดงธรรม เมื่อคราวทรงแสดงธรรมในสมาคมของท้าวสุทัสสนเทวราช เทวดาและมนุษย์ ๙ หมื่น โกฏิ บรรลุพระอรหันต์ พระพุทธองค์ทรงนำเรื่องปาฏิโมกข์ขึ้นแสดงท่ามกลางภิกษุสาวก นับเป็นสาวกสันนิบาตครั้ง
ที่ ๓ ด้วย
เสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ ๙ หมื่นพรรษา ณ พระวิหารอัสสัตถารามพระสถูปบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสูง ๓ โยชน์
พราหมณ์กัสสปะ
ในพระพุทธกาลนี้ พระโพธิสัตว์ของเราเกิดเป็นพราหมณ์หนุ่มชื่อ กัสสปะ เป็นผู้คงแก่เรียน รอบรู้วิชาทางศาสนาพราหมณ์เป็นอย่างยิ่ง ครั้งหนึ่งมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาของพระบรมศาสดา เกิดศรัทธายิ่งนัก ได้สละทรัพย์จำนวนถึงแสนโกฏิสร้างสังฆารามถวายพระพุทธองค์ตั้งตนอยู่ในศีล ๕ ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ