บุญในตัวกระตุ้นเตือนเมื่อพบเทวฑูต 4
วันหนึ่ง ทรงเบื่อหน่ายกับการใช้ชีวิตที่อยู่แต่เพียงภายในพระราชวัง จึงทรงรับสั่งให้นายสารถี (คนขับรถม้า) พาพระองค์ออกไปจากพระราชวัง ด้วยความรักที่นายสารถีมีต่อเจ้าชาย จึงไม่ขัดใจแต่ได้ขัดคำสั่งของพระเจ้าสุทโธทนะ ระหว่างทางที่พระองค์ทรงเสด็จทรงทอดพระเนตรทรงเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน คือ คนแก่ มีผมหงอก ถือไม้เท้า เดินไม่ค่อยไหว จึงได้ตรัสถามนายสารถีว่า
“ นายสารถี นั่นเขาเรียกว่าตัวอะไรทำไมผมรูปร่างหน้าตาถึงเป็นแบบนั้น”
นายสารถีได้กราบทูลว่า
“ นั่นเขาเรียกว่าคนแก่พระเจ้าข้า ถ้าข้าพระองค์มีอายุมากขึ้นผมที่เคยดำก็จะกลายเป็นสีขาว ร่างกายที่เคยแข็งแรงก็จะอ่อนแรงลง ต้องใช้ไม้เท้าช่วยค้ำยันไว้ ทุกคนก็ต้องเป็นแบบนี้พระเจ้าข้า” ภาพชายแก่คนนั้นทำให้เจ้าชายเสด็จกลับสู่พระราชวังด้วยความสลดพระราชหฤทัย
วันที่สอง ทรงเสด็จสู่พระราชอุทยานอีก ทรงทอดพระเนตรเห็นคนเจ็บนอนโทรมร้องครวญครางเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย จึงได้ตรัสถามนายสารถีว่า
“ คนนี้เป็นใครเขากำลังเป็นอะไร”
นายสารถีได้กราบทูลว่า
“ คนนี้เขาเรียกว่า คนเจ็บพระเจ้าข้า เมื่อร่างกายถูกโรคร้ายรุ่มเร้า ก็จะต้องนอนโทรมอยู่อย่างนี้”
ภาพคนเจ็บทำให้พระหทัยของเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จกลับสู่พระราชวังด้วยความรู้สึกหดหู่มากพระราชหฤทัยมากยิ่งขึ้นกว่าวันก่อน
วันที่สาม ทรงเสด็จสู่นอกพระราชวังอีก ทรงทอดพระเนตรเห็นคนตายนอนนิ่งเหมือนขอนไม้จึงได้ตรัสถามนายสารถีว่า
“ นายสารถี คนนี้ทำไมถึงนอนแน่นิ่งเช่นนี้ล่ะ”
แล้วทำไมถึงมีคนร้องไห้ห้อมล้อมเขาอยู่อย่างนั้น นายสารถีได้กราบทูลว่า
“ นี่เขาเรียกว่าคนตายพระเจ้าข้า คนตายคือคนที่ไม่หายใจแล้ว เคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ รอการเป็นอาหารของหนอนมาแทะกินพระเจ้าข้า แต่ว่าในโลกนี้ไม่มีใครเลยที่จะไม่ตายหรอกพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ก็ต้องตายเหมือนกัน ส่วนคนที่ร้องไห้อยู่นั้นเป็นญาติของคนที่ตายไปแล้วพระเจ้าคะ ร้องไห้คร่ำครวญกันประหนึ่งจะเรียกร้องให้ดวงจันทร์นั้นลงมาอยู่ในมือของตนให้ได้เลยพระเจ้าข้า” เจ้าชายสิทธัตถะทรงสลดพระราชหฤทัยหนักยิ่งขึ้นกว่าวันก่อนๆ
วันที่สี่ วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้ากระจ่างใสอากาศก็สดใสกว่า 3 วันก่อน พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นบุรุษห่มผ้าสีเปลือกไม้ใบหน้าผ่องใส ศีรษะไม่มีผมเดินมาด้วยอาการสงบสำรวม เจ้าชายจึงได้ตรัสถามนายสารถีว่า
“ นายสารถี คนนั้นที่กำลังเดินอยู่นั่นเป็นใครทำไม่มีลักษณะไม่เหมือนคนทั่วไป”
นายสารถีจึงได้กราบทูลไปว่า
“ เขาเรียกว่านักบวชพระเจ้าข้า นักบวชจะเป็นผู้ที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการครองเรือน แต่จะแสวงหาวิธีการและหนทางที่จะหลุดพ้นไปจากความทุกข์ที่ต้องเกิดแก่เจ็บตาย โดยการออกบวชพระเจ้าข้า”
เจ้าชายได้ฟังเช่นก็มีความรู้สึก ปีติแช่มชื่นใจยิ่งนัก แม้รถม้าจะวิ่งผ่านไปไกลจากนักบวชคนนั้น แต่สายตาของพระองค์ก็มิได้ทรงละจากนักบวชรูปนั้นเลย ทรงเหลียวหลังทอดพระเนตรดูนักบวชคนนั้นด้วยความสุขใจ และทรงรำพึงขึ้นในใจว่า
”ชีวิตของนักบวชช่างดูสงบร่มเย็น เป็นชีวิตที่ไม่เหมือนคนทั่วไปเลย”
นับเป็นบุญบารมีในตัวของเจ้าชายสิทธัตถะโดยแท้ ที่ได้กระเตือนให้เห็นภัยจาก ความแก่ ความเจ็บ ความตาย จึงเกิดความเบื่อหน่ายสุดประมาณ ธรรมดาบุคคลทั่วไป เห็นความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นเรื่องปกติ แม้พบเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำก็ไม่ได้คิด เพราะเหตุแห่งการสั่งสมปัญญายังไม่สมบูรณ์ ไม่อาจกระตุ้นเตือนให้เห็นภัย จากสิ่งเหล่านี้ได้ และยังคงติดอยู่กับโลกปัจจุบันที่ต้องทำมาหากินเพื่อหล่อเลี้ยงสังขารให้ดำรงอยู่ได้ และในที่สุดก็ไม่อาจจะหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้ไปได้
-------------------------------------------------------------------
GL 204 ศาสตร์แห่งการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
กลุ่มวิชาเป้าหมายชีวิต