ฉบับที่ 48 ตุลาคม ปี 2549

ศิลปะเพื่อชีวิต

 
ธรรมะอินเทรนด์ เรื่อง : ชนนี

                      ปัจจุบันโลกของเราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และสิ่งประดิษฐ์อย่างหนึ่ง ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อ การพัฒนาของโลก ก็คือ "คอมพิวเตอร์" ซึ่งเจ้าคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ นับวันก็จะยิ่งเข้ามามีบทบาท ในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ

                       โดยส่วนใหญ่เราใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำธุรกิจการงาน แต่มีคนจำนวนหนึ่งนำคอมพิวเตอร์ ไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดความเสียหาย เช่น เผยแพร่ เรื่องราวหรือภาพที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ผู้อื่น ใช้เทคนิคโกงเงินจากตู้เอ.ที.เอ็ม หรือแพร่ไวรัสคอมพิวเตอร์ทำความเดือดร้อนให้กับคนทั่วทุกมุมโลก เป็นต้น

                       คนที่ทำเรื่องประเภทนี้ได้ ก็ต้องจัดว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และมีศิลปะในการใช้คอมพิวเตอร์ มากในระดับหนึ่ง แต่การใช้ศิลปะเพื่อสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่นนั้น สะท้อนให้เห็นว่า เขาขาดศิลปะในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นศิลปะที่สำคัญกว่าศิลปะอื่นใด ทำให้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่า ความเดือดร้อนที่สร้างให้ผู้อื่นนั้น จะย้อนกลับมาสู่ตนเองตามกฎแห่งกรรม

                       เรื่องราวทำนองนี้มีมาทุกสมัยคู่โลก เพราะ ไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็ตาม กิเลสของมนุษย์เราก็มีอยู่ สามตระกูล เหมือนกัน คือ โลภะ โทสะ โมหะ ดังนั้น ในพระไตรปิฎกก็มีเรื่องราวของการใช้ศิลปะ ปรากฏอยู่เช่นกัน ดังเรื่องสัฏฐิกูฏเปรต ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท

                      ความว่า... ชายง่อยเปลี้ยคนหนึ่งมีศิลปะใน การดีดก้อนกรวด เขาเลี้ยงชีพอยู่ได้ด้วยการดีดก้อนกรวด ให้คนชมเพื่อแลกกับอาหาร เขาสามารถดีดก้อนกรวดฉลุใบไม้ บนต้นให้เป็นลวดลายต่างๆ นานา สวยงามราว กับนำใบไม้มาแกะสลัก ต่อมาพระราชา มาพบเข้าจึงรับเข้าวัง เพื่อให้เขาไปดีดมูลแพะใส่ปากปุโรหิต ที่ปรึกษาของ พระองค์ที่พูดมาก และชอบโต้เถียงอยู่เป็นนิจ เขาแอบอยู่หลังม่าน ดีดมูลแพะใส่ปากปุโรหิตไป ๑ ทะนาน จนทำให้ปุโรหิตเลิกนิสัยช่างพูดได้ ชายคนนี้ได้รับรางวัลอย่างงามจาก พระราชาและมีชีวิตความเป็นอยู่ ที่สะดวกสบายสืบไป

                  แต่ลูกศิษย์ของชายง่อยเปลี้ยคนนี้กลับนำศิลปะ ที่ตนเองมีอยู่ไปทดลองดีดก้อนกรวดใส่หู พระปัจเจกพุทธเจ้า ก้อนกรวดทะลุหูขวาออกหูซ้าย ทำให้พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพาน ในที่สุด เมื่อมหาชนทราบข่าวว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็เศร้าสลดเสียใจมาก พากันรุมประชาทัณฑ์เด็กหนุ่มจนสิ้นชีวิต บาปกรรมนำเขาไปเกิดใน อเวจีมหานรก เมื่อพ้นกรรมจากอเวจีก็มาบังเกิดเป็น สัฏฐิกูฏเปรต อาศัยอยู่บริเวณยอดเขาคิชฌกูฏ

                  มนุษย์เราทุกคนต่างก็มีศิลปะด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าใครจะโดดเด่นในทางใด แต่การที่เราจะเลือกใช้ศิลปะของเราไปในทางที่ถูกต้อง หรือในทางที่ผิดนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เรามีศิลปะในการดำเนิน ชีวิตหรือเปล่า ถ้าเราเชื่อกฎแห่งกรรม มีธรรมะ ประจำใจ ประพฤติตามคำสอนของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าที่ให้ทำความดี ละชั่ว ทำใจให้ผ่องใส เราก็ย่อมนำศิลปะ ในวิชาชีพที่มีอยู่ไป สร้างความสุขความสำเร็จให้กับชีวิตได้ แต่ถ้าเราขาดศิลปะในการดำรงชีวิต ขาดหลักธรรมประจำใจ ไม่รู้ว่าอะไรดี-ไม่ดี อะไรควร-ไม่ควร นำความรู้ความสามารถที่มีไปใช้ในทางที่ผิด ย่อมทำให้เกิดความหายนะทั้งกับตนเองและผู้อื่น

                  ดังนั้นเมื่อเราได้ศึกษาศิลปะใดๆ ก็ตาม ขอให้คิดในเชิงสร้างสรรค์ที่ก่อให้เกิดประโยชน์ เกิดบุญกุศล นำศิลปะนั้นมาสร้างประโยชน์กับครอบครัว สังคม และประเทศชาติ แล้วสิ่งดีๆ ก็จะย้อนกลับมาสู่ตัวเราเอง

                  ดังที่มีคนเคยกล่าวไว้ว่า...มนุษย์เราในโลกนี้ ยืนจับมือกันอยู่เป็นวงกลม สิ่งใดก็ตามที่เราส่ง ออกไป สิ่งนั้นก็จะวนกลับมาหาตัวเราในที่สุด

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล