ฉบับที่ 80 มิถุนายน ปี2552

ทางกลับสู่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ

ปกิณกธรรม
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ. ๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺสารี ป.ธ. ๙

 






 

      ความไม่ประมาท คือ การมีสติกำกับตัวอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคิด พูด ทำสี่งใด ก็ไม่ยอมถลำลงไปในทางเสื่อม และไม่ยอม พลาดโอกาสในการทำความดี ตระหนักมั่นถึงความดีที่ต้องทำ และบาปกรรมที่ต้องเว้น ความไม่ประมาทเป็นคุณธรรมที่ สำคัญยิ่ง กุศลธรรมทั้งหมดล้วนประมวลลงที่ความไม่ประมาท เหมือนรอยเท้าทั้งหลายประชุมรวมลงในรอยเท้าช้าง

       เวลาบนโลกมนุษย์ของนักสร้างบารมีนั้น มีคุณค่าทุกอนุวินาที จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ต้องมีสติเตือนตนเองอยู่เสมอ ว่าเราอาจตายเมื่อไรก็ได้ พึงเร่งขวนขวายในการสร้างบารมีในทุกรูปแบบ เมื่อพญามัจจุราชปรากฏขึ้น จะได้ไม่หวั่นไหว มีแต่ ความมั่นใจว่าจะได้กลับไปเสวยทีพยสมบัตีในดุสิตบุรี อย่างแน่นอน เหมือนพระอินทร์ผู้เป็นจอมเทพในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเห็นว่าอีกไม่นานจะต้องจุติ พระองค์ก็ไม่ประมาท หาทางแก้วิกฤตเป็นโอกาสทันที

พระอินทร์กลัวตกสวรรค์

             ครั้งหนึ่ง ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นบุพนิมิต ๕ ประการ

             ๑. ดอกไม้เหี่ยวแห้งไม่แย้มบานเหมือนแต่ก่อน

             ๒. ภูษาอาภรณ์อันเป็นทิพย์ก็ดูเศร้าหมอง

             ๓. เหงื่อไหลออกจากรักแร้

             ๔. ผิวพรรณเศร้าหมองลง รัศมีกายที่เคย สว่างไสวในตัวก็ลดลง

             ๕. ทิพยอาสน์ร้อน ทำให้ไม่ยินดีในเทวโลก

             เมื่อทรงเห็นอย่างนั้นก็ทรงทราบว่า ใกล้จะหมด เวลาที่จะเสวยทิพยสมบัติเหล่านี้แล้ว เนื่องจากเทวดา ทั่วไป ผู้มีกำลัง บุญไม่มาก ถึงคราวกำลังบุญใกล้จะ หมดก็หวาดกลัว แต่ผู้ที่สั่งสมบุญไว้มาก จะไม่รู้สึกสะดุ้งหวาดกลัวเลย เพราะรู้ว่าจะ ได้ขึ้นไปเสวยบุญในเทวโลกชั้นสูง ๆ ขึ้นไปอีก

             ส่วนท้าวสักกเทวราชเมื่อทรงเห็นบุพนิมิต ทรง มองดูสมบัติทั้งหมดในอาณาเขตปกครองของพระองค์ ตั้งแต่เทพนคร สูง ๑๐,๐๐ โยชน์ เวชยันตปราสาท สูง ๑,๐๐๐ โยชน์ สุธรรมาเทวสภา ๓๐๐ โยชน์ ต้นปาริฉัตรสูง ๑๐๐ โยชน์ บัณฑุกัม พลศิลา อาสน์ ๑๖ โยชน์ เทพอัปสร ๒๕ โกฏี เทพบริษัทในเทวโลก สวนจิตรลดา และทิพยสถานต่าง ๆ ทรงถูกความกลัวครอบงำ แล้วทรงตรวจดูว่า มีใครบ้างไหม ไม่ว่าจะ เป็นสมณพราหมณ์หรือมหาพรหมที่จะสามารถทำให้ พระองค์เสวยมหาทิพย สมบัตีเหล่านี้อีกต่อไปได้

 




 

            เมื่อทรงตรวจดูทั่วทั้งเทวโลกและมนุษยโลก ก็ไม่เห็นใครจะช่วยได้ ยกเว้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงชักชวนเหล่าเทพบุตร เทพธิดาลงไปมนุษยโลกทันที สมัยนั้นพระบรมศาสดาทรงประทับอยู่ที่ถ้ำอินทสาล ได้ทรงสนทนากับท้าวสักกะว่า "มหาบพิตร ตามปกติพระองค์เป็นผู้มีกิจมาก เพราะเหตุไรจึงเสด็จมาโลกมนุษย์"

             ท้าวสักกะทูลว่า "ข้าพระองค์หลีกไปเสียนาน ตั้งใจจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ แต่ข้าพระองค์ มัวประมาทยุ่งด้วย กรณีย กีจบางอย่างของหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ จึงไม่อาจจะมาเข้าเฝ้าได้ ข้าพระองค์ยังมีความสงสัยเคลือบแคลงในธรรมอีกมาก มาย จึงหวังคำตอบจากพระองค์ในการที่จะช่วยถอน ลูกศรคือความโศกในหทัยของข้าพระองค์"

             จากนั้นท้าวสักกะได้ทูลถามปัญหาที่ค้างคา ใจมานาน คำตอบของพระบรมศาสดาแต่ละข้อสามารถแก้ไข ข้อข้องใจ ของท้าวสักกะได้หมด จนเป็น เหตุให้ท้าวสักกะมีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ด้วยบุญที่เกิดจากการบรรลุธรรม ทำให้ พระองค์จุติต่อเบื้องพระพักตร์ของพระบรมศาสดา ทำให้พระองค์เป็นท้าวสักกะผู้มีรัศมีกายที่สว่างไสวรุ่งโรจน์กว่าเดิม และได้ครองเทพนครดังเดิม ซึ่งการจุติของพระองค์นั้นไม่มีใครทราบเลย มีเพียงท้าวสักกะและพระบรมศาสดาเท่านั้น

             ท้าวสักกะได้ทรงเปล่งอุทานด้วยจิตที่เลื่อมใส ถึง ๓ ครั้งว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทฺธสฺส ขอนอบน้อม แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ จากนั้น ก็ทูลลากลับเทวโลกไปเสวยทิพยสมบัติ ดังเดิม ตั้งแต่นั้นมาท้าวสักกะก็ไม่ประมาทเหมือนแต่ก่อน จะหาโอกาสลงมาอุปัฏฐากบำรุงองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า และฟังธรรมเป็นประจำไม่เคยขาดเลย

 




 

     หนทางกลับดุสิตบุรีของนักสร้างบารมี

             จะเห็นได้ว่า การที่ท้าวสักกะทรงได้ครองความเป็นจอมเทพดังเดิม ก็เพราะอาศัยความไม่ประมาท และทรงฉลาดใน การหา บุญกุศลเพิ่มเติมให้ กับตนเอง ทำให้พิชิตความตายได้กลับมาเกิดใหม่ มีอานุภาพและครองความเป็นใหญ่ที่พิเศษ กว่าเดิม

             ยอดนักสร้างบารมีทั้งหลาย แล้วหนทางกลับ สู่ดุสิตบุรี วงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์ของเรา มีความแจ่มชัดปานใด บางท่านยังไม่มั่นใจ และบางท่านก็ยังคลางแคลงใจว่าตัวเองเคยสร้างบารมีกับหมู่คณะที่มุ่งจะปราบมารหรือไม่ ผู้มีบุญทั้งหลาย เราเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญคือ ตอนนี้เรามารวมกันแล้ว มาเคียงบ่าเคียง ไหล่สร้างบารมีร่วมกัน และมีเป้าหมายเพื่อปราบมาร ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม

             เราล้วนเป็นชาติเชื้อ เดียวกัน

             ชาติเชื้อธรรมกายสรร เสกสร้าง

             จุติจากดุสิตสวรรค์ มาเกิด

             หวังแผ่ธรรมกายกว้าง เพื่อล้าง เมืองมาร

             บุญเท่านั้นทำให้พวกเราได้มาสั่งสมบุญทุกบุญ ด้วยกัน ถ้าบุญน้อยหรือถ้าไม่เคยสร้างบารมีร่วมกัน มา คงไม่มีใจทุ่ม เทชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันถึงเพียงนี้ เพราะมีผู้คนมากมาย ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่ได้คิด จะร่วมอุดมการณ์กับมหา ปูชนียาจารย์เฉกเช่นพวกเรา ตอนนี้เรามีหน้าที่เดียว คือ สร้างบารมีอย่างสุดฤทธี์ เพื่อพิชิตธงชัยคือการได้กลับไปดุสิตบุรี ตามนักสร้างบารมีท่านอื่น ที่ได้เดินทางกลับดุสิตบุรี ทิพยสถานอย่างองอาจสง่างาม

             วีธิการก็คือ อย่าประมาท คุณครูไม่ใหญ่ว่าอย่างไรว่าตามกัน หมั่นสั่งสมบุญทุกบุญ อย่าทำ ตามกำลัง แต่ต้องทุ่มเท สุดกำลัง ไม่ใช่แค่ร่วมบุญ แต่ต้องทุ่มสุดตัว สุดหัวใจ เป็นเหมือนเจ้าของบุญ ไม่เสร็จไม่เลิกรา แม้เหนื่อยเหน็ดแต่จะ ไม่เหนื่อยหน่าย จะไม่สร้างบารมีตามลำพัง แต่จะยึด "ทีม" เป็นหลัก ไม่ยอมน้อยหน้าคือเอาเปรียบคนอื่น หรือ ชอบสร้างบารมี ตามอารมณ์ ไม่ล้ำหน้าคือไม่หวังอยากเด่นอยากดัง อยากเอาบุญเป็นที่ตั้ง มุ่งที่จะไป พร้อมหน้า เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการ สร้างสันติภาพ ให้บังเกิดขึ้นแก่โลก

             งานสร้างบารมีต้องทำกันไปเป็นทีม ให้มีหลวงพ่อ มีธรรมะ มีภารกิจ และมีคำว่าทีมอยู่ในใจเสมอ และหมั่นอธิษฐาน จิตตอกย้ำทุกวันบ่อย ๆ ให้จิตหน่วงไปในดุสิตบุรี เมื่อวันสุดท้ายของการ สร้างบารมีในโลกมนุษย์มาถึง เราจะบังเกิดใหม่ด้วย ทิพยกาย มีเทวรถและทิพยบริวารมาคอยต้อนรับ พาเรากลับสู่ดุสิตบุรี เสวยทีพยสมบัติอันโอฬาร จนกว่าจะลงมา สร้างบารมี กันอีกรอบ และจะร่วมเรียง เคียงบ่าเคียงไหล่กันไปอย่างนี้จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม...

ปล. แม้รู้จักหนทางกลับดุสิตบุรีแต่อย่ารีบด่วนกลับตอนนี้

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล