ฉบับที่ 100 กุมภาพันธ์ ปี2554

พบแล้วหรือยัง...ความสุขที่หาซื้อไม่ได้ สุขในใจ..จนสามารถยิ้มได้คนเดียว

ผลการปฏิบัติธรรม

เรื่อง : ธัมม์ วิชชา

 



 

 

พบแล้วหรือยัง...ความสุขที่หาซื้อไม่ได้

สุขในใจ..จนสามารถยิ้มได้คนเดียว

 



 

          สิ่งที่เราเคยประมาณการกันว่า คือ "ความสุข" ที่มีอยู่ดาษดื่นในโลกใบนี้ ส่วนใหญ่ล้วนต้องซื้อหาหรือแลกมาด้วยทรัพย์สินเงินทอง ตอนยังไม่มีก็ดิ้นรน แสวงหาเพื่อให้ได้มี พอมีแล้วก็ระแวงระวัง รักษาไม่ให้เสื่อมสูญหายสลายไป ท้ายที่สุด เราต้องมาประเมินกันใหม่ว่า "ความสุข" ที่ซื้อหามาได้นั้นคือความสุขจริงไหม แล้วความสุขแบบไหนที่ควรได้ชื่อว่า "สุขจริงหนอ" ประสบการณ์ความสุขภายในจากชีวิตจริงของพระธรรมทายาทเหล่านี้ คือ คำตอบที่ชัดเจน...

 


 

 พระวิ จิตฺตปาโล

          พระธรรมทายาทวิ จิตฺตปาโล อายุ ๕๓ ปี ตัวแทนพระธรรมทายาทจากศูนย์อบรมวัดทุ่งมะส้าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน ท่านเป็นชาวไทยใหญ่ เกิดที่บ้าน เวียงจายข่า ประเทศพม่า ในช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบ สุข มีการสู้รบกันเป็นประจำได้อพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านห้วยขาน จังหวัดแม่ฮ่องสอน บรรพบุรุษชาวไทยใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธ มีความเชื่อที่สอน ต่อ ๆ กันมาว่า ถ้าใครเกิดมาแล้วเป็นคนดี ถือว่าได้ตอบแทนน้ำนมมารดา ๑ ข้าง แต่ถ้าได้บวชเรียน เท่ากับได้ตอบแทนน้ำนมมารดาครบทั้ง ๒ ข้าง (ตอบแทนได้หมด) ซึ่งเป็นคำสอนที่ท่านจำขึ้นใจ มาตลอด ช่วงหนึ่งท่านฝันเห็นตัวเองได้บวชพระ ห่มผ้าเหลือง ฝันซ้ำ ๆ อยู่หลายวัน แล้วไม่นาน ก็ได้ยินประกาศจากรถกระจายเสียงชวนบวชพระ ๑๐๐,๐๐๐ รูปเข้าพรรษา ท่านจึงอธิษฐานจิตนึกถึง บุญที่เคยทำว่า "ขอให้ได้บวชด้วยเถอะ"

 



 

"เวลาอยู่ในองค์พระ  อาตมารู้สึกปลอดภัย สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ไม่สามารถทำอันตรายได้"

          พอตัดสินใจว่าจะบวชแน่ ๆ ก็สละเรือน ทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่าง ยกสมบัติทั้งหมดให้ลูก ๆ และภรรยา แล้วก็ตั้งใจจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อีกต่อไป พอ เข้าโครงการก็สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน พระอาจารย์ ให้ทำอะไรก็ทำตามทุกอย่างและไม่เคยขาดจากการ นั่งสมาธิเลยสักวันเดียว ท่านได้เล่าประสบการณ์ภายในให้ฟังว่า

          ...ตอนแรกที่นั่งสมาธิ ขามันโก้นไปหมด (ทั้ง ปวดทั้งเมื่อย) ตาตุ่มข้างขวาก็เป็นแผล แต่อาตมาไม่ย่อท้อ อาตมาอดทน สู้...สู้... พอนั่งสมาธิเสร็จ ทีไร เดินกะเผลกทุกที อาตมาฝึกนั่งจนขาหายโก้น (หายปวดหายเมื่อย) เพราะคิดว่า ใครจะนั่งสมาธิหรือไม่ ไม่ต้องไปสนใจ แต่เรามาบวชแล้ว เราต้องฝึกตัว เราทำ เราได้ ก่อนนั่งสมาธิทุกครั้ง อาตมาจะชูตอง (อธิษฐาน) ก่อนเสมอ ขอบุญบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ช่วยปกป้องคุ้มครอง ขอให้นั่งสมาธิได้ดวงแก้วใส ๆ พอแผ่เมตตาแล้วก็ทำใจนิ่งดิ่ง พอนั่งไปเรื่อย ๆ ก็รู้สึกแป่ว (มีความสุข) ยิ่งนั่งยิ่งแป่ว แล้วอาตมาก็เห็นดวงแก้วสว่างไสว มีแสงสีเหลืองสลับขาวผุดขึ้นมากลางปุ๋ม (กลางท้อง) แล้วก็เห็นเจ้าพารา (องค์พระ) ขึ้นมาในดวงแก้วด้วย ตอนแรกเห็นเศียรเป็นจุดกลม ๆ ขึ้นมาก่อนเลย แล้วท่านก็ค่อย ๆ ขยายออกจนเต็มองค์

เป็นแก้วใส ๆ ทั้งองค์ พอมองไปก็มีแต่ดวงแก้วสุกใส มีเจ้าพารา (องค์พระ) อยู่ในนั้น แล้วท่านก็ขยายจนคลุมตัว เหมือนตัวเราเข้าไปอยู่ในองค์พระ ท่านขยายใหญ่ แบบไม่อันแต๊ก (ไม่มีประมาณ) เวลาอยู่ในองค์พระ อาตมารู้สึกปลอดภัย สิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ไม่สามารถทำอันตรายได้ ตอนองค์พระคลุมตัว ใจจะนิ่งสงบ พอองค์ใหญ่หายไป ก็มีองค์เล็ก ๆ ผุดขึ้นมาใหม่
สลับไปสลับมา สนุกมาก มีความสุขมาก ๆ ตอนนี้ ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา อาตมาจะเห็นองค์พระอยู่ตลอดเวลา เหมือนในดวงตาดวงใจมีแต่ภาพองค์พระ อาตมาดีใจมาก ๆ ที่ได้มาถือศีล ๒๒๗ และจะตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะบวชไปนาน ๆ...

 


 

พระเปา อนุพโล

          พระธรรมทายาทเปา อนุพโล อายุ ๒๐ ปีตัวแทนพระธรรมทายาทจากศูนย์อบรมวัดภูถ้ำทอง จังหวัดอุบลราชธานี ท่านเป็นชาวเมืองสองคอน แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว แต่พูด เขียน และอ่านภาษาไทยได้คล่อง เพิ่งเรียนจบชั้น ม.๖ ขณะที่กำลังวางแผนจะเรียนต่อ แม่ก็มาขอว่า ปีนี้ บวชเป็นพระให้แม่นะ ท่านคิดว่า "แม่ทำอะไรเพื่อเรามาก็เยอะ เราน่าจะทำอะไรเพื่อแม่สักครั้ง" จึงตัดสินใจบวช

 


 

          ...พอเข้าโครงการ อาตมาก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย ทั้งเรื่องบุญ-เรื่องบาป ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน พอมาบวชแล้วจึงได้เข้าใจ แล้วก็ดีใจมาก ๆ ที่ได้รู้ว่า แท้จริงแล้วเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี จึงมาคิดต่อว่าไหน ๆ เรามาบวชทั้งที ก็ต้องตั้งใจเอาดีให้ได้ ดังนั้นไม่ว่าพระอาจารย์สอนอะไรก็จะตั้งใจเรียนและเอาไปฝึกฝน อย่างเรื่องการนั่งสมาธิก็เหมือนกัน ๒ วันแรกอาตมานั่งแทบไม่ได้เลย หลับตาทีไรก็คิดโน่นคิดนี่ มีแต่ความคิดอยู่เต็มหัว แล้วนั่งได้ไม่นานก็ปวดโน่นปวดนี่ เมื่อยไปทั้งตัว พระอาจารย์ก็สอนให้ภาวนา สัมมา อะระหัง วางใจนิ่ง ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็ลองทำดู จนวันที่ ๓ ของ การอบรม อาตมานั่งหลับตาเบา ๆ ภาวนา สัมมา อะระหัง ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่คิดอะไร ไม่ฟุ้งซ่าน ข้างในมันเงียบมาก อยู่ ๆ ก็เห็นดวง กลม ๆ มีแสงนวล ๆ เป็นดวงเล็ก ๆ เท่าลูกมะนาว ลอยอยู่ในกลางท้อง พอมองไปเฉย ๆ สักพัก ดวงนั้นก็ค่อย ๆ ใสขึ้น ใสจนมองทะลุได้ ก็มีองค์พระผุดขึ้นมาจากดวงแก้ว เป็นองค์จิ๋ว ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย ใสมาก แป๊บเดียวก็ขยายใหญ่ ใหญ่กว่าภูเขา ตอนนั้นอาตมาคล้ายๆ เหมือนจะไม่รับรู้ แต่ว่ารู้ แล้วก็เห็นองค์พระแบบเดียวกันผุดซ้อนขึ้นมาเรื่อย ๆ ในตัวอาตมาก็มี เท่ากับตัวอาตมาก็มี แล้วก็ใหญ่กว่า ตัวอาตมาก็มี

 


 

          ..พอลืมตาแล้วรู้สึกสบายใจ มีความสุขมาก พอมองไปที่กลางกาย องค์พระก็ยังอยู่ เป็นองค์ จิ๋ว ๆ นั่งนิ่ง ๆ แล้วในกลางองค์พระก็มีดวงแก้วกลม ๆ ใส ๆ อยู่ด้วย เห็นชัดมาก ไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะรู้สึกว่ามีท่านอยู่ในกลางกายเสมอ อาตมารู้สึกประทับใจในองค์พระมาก องค์พระทำให้แจ่มใส มีความสุข แล้วทุกวันนี้ท่านก็ยังอยู่กับอาตมา เป็นองค์ใส ๆ ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก นั่งอยู่กลางกายแบบพอดี อาตมาปลื้มมากที่สามารถเห็นองค์พระแบบนี้ได้ แต่ที่ปลื้มมากกว่าก็คือ โยมพ่อโยมแม่ เพราะเวลาท่านมาเยี่ยมทีไรก็จะพูดแต่ว่า ปลื้มใจ ดีใจที่อาตมาบวชให้ แถมยังบอกอีกว่า บวชไปนาน ๆ นะ อย่าเพิ่งสึก

 


 

พระประมาณ สิทฺธาโส

          พระธรรมทายาทประมาณ สิทฺธาโส อายุ ๔๗ ปี ตัวแทนพระธรรมทายาทจากศูนย์อบรม วัดพระธรรมกาย ระเบียง ๘ ท่านทำงานมาหลายอย่างหลายด้าน ใช้ชีวิตมาทุกรูปแบบ พี่สาวแท้ ๆ ชวนท่านมาบวช จะได้ส่งบุญกุศลไปให้แม่ที่เสียชีวิต ไปแล้ว ท่านดีใจมากที่ได้มาพบกับหลวงพ่อ ได้รู้จัก หลวงปู่และคุณยายอาจารย์ ตอนนี้ท่านบอกว่า รู้แล้ว ว่าอะไรคือเป้าหมายของชีวิต

          ...อาตมาชอบนั่งสมาธิตามเสียงของหลวงพ่อ มาก ๆ หลวงพ่อสอนเข้าใจง่าย ฟังเพลิน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องขยับเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ เพราะรู้สึกไม่เข้าที่สักที นั่งไปก็ไม่เห็นอะไร จนชักจะน้อยใจตัวเอง คิดว่า "เรานี่เป็นยังไงนะ เคยบวชมาแล้ว แท้ ๆ แต่ทำไมถึงไม่เห็นผล ไม่คืบหน้าสักที" แล้ว อาตมาก็พยายามฝึกสมาธิในทุกอิริยาบถ นึกถึงศูนย์กลางกายทุกวัน จนกระทั่งวันที่ ๑๒ กันยายน จำได้ว่า วันนั้นได้นั่งสมาธิกับหลวงพ่อที่สภาธรรมกาย สากล มีหลวงปู่ทองคำเป็นประธาน ในขณะที่กำลัง ภาวนา สัมมา อะระหัง อยู่ รู้สึกว่าใจมันเคลิ้ม ๆ อยู่ ๆ ก็วูบ เหมือนลื่นไถลไปกับราวบันได ใจมันเสียววูบ แต่ไม่ตกใจ แล้วก็เห็นแสงเหมือนฟ้าแลบเกิดขึ้นตรงกลางท้อง เปลวแสงกระจายตัวเป็นสีขาว นวล ๆ แล้วม้วนรวมตัวเป็นวงกลม มีขนาดประมาณ ลูกตาดำ สว่างเหมือนดวงเดือน เห็นชัดมาก สักพักเดียวดวงนั้นก็ขยายใหญ่แล้วหายไป แล้วก็มีแสง แบบเดิมแทงขึ้นมาจากศูนย์กลางกาย ม้วนตัวเป็นดวงกลม ๆ ลอยขึ้น ขยายออก หายไป เป็นอย่างนี้ อย่างต่อเนื่อง แล้วจิตก็นิ่งไปเลย พอดูเฉย ๆ ภาพ ก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งนิ่ง ยิ่งชัด ลมหายใจก็สม่ำเสมอ ไม่มีความสงสัยอะไรเลย เพลินมาก เป็นอารมณ์ที่ยากจะบรรยายจริง ๆ หลังจากวันนั้นก็เริ่มมีกำลังใจ และอยากจะนั่งแต่สมาธิ สะสมเวลานั่งมากขึ้น ทั้งกลางวัน กลางคืน และไม่ว่าจะทำอะไรก็จะนึกถึง ดวงกลม ๆ ที่ศูนย์กลางกายเสมอ ทำให้ปรับใจได้ง่าย เข้าถึงสมาธิได้เร็ว แล้วดวงกลม ๆ ก็พัฒนา ขึ้นทุกวัน สว่างขึ้น ใสขึ้น โดยมีจุดตรงกลางใสที่สุด โล่งจนมองทะลุได้เลย

          ...วันหนึ่ง ขณะกำลังดูดวงใส ๆ ผุดขึ้นมาอย่างเพลิน ๆ อาตมาก็มองไปตรงกลางดวง ตรงจุดที่ใสที่สุดของทุก ๆ ดวง ดวงไหนผุดขึ้นมา อาตมา ก็มองเข้าไปในดวงนั้น ก็รู้สึกเหมือนมีแรงดึงดูดให้ลึกลงไปเรื่อย ๆ เร็วมาก แล้วก็มีแสงพุ่งออกมาคลุมตัว ใจก็นิ่ง อยู่ ๆ ก็เห็นเศียรพระเป็นภาพ ราง ๆ ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา เห็นหน้าของท่านชัดทีละนิด จนชัดเต็มองค์ ขนาดประมาณ ๓ เซนติเมตร มีสีใสมาก ๆ เป็นประกายเลื่อม ๆ ระยิบระยับเหมือนประกายเพชร แล้วท่านก็ขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ มากจนหายไป แล้วก็มีองค์ใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ ไม่หยุด พอลืมตาแล้วท่านก็ยังอยู่ แล้วถ้าใจนิ่งดีก็จะเห็นท่านได้ชัดมาก ๆ เห็นองค์พระแล้วรู้สึกปีติใจ มีความสุขมาก เป็นความสุขที่หาซื้อไม่ได้จากที่ไหน มันสุขในใจจนสามารถยิ้มได้คนเดียว อาตมาโตมา ๔๗ ปี ก็ไม่เคยรู้สึกอย่างนี้มาก่อนเลย

 


 

          อยากพบความสุขแท้ ๆ สุขจริงหนอ หรือแป่วแบบอันแต๊ก (สุขแบบไม่มีประมาณ) เช่นเดียวกับพระธรรมทายาทเหล่านี้ ก็ต้องทำอย่างท่าน ขยันนั่ง ขยันนิ่ง ถ้าปฏิบัติกันจริง ๆ เดี๋ยวก็เข้าถึง

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล