ฉบับที่ ๑๓๕ เดือนมกราคม ๒๕๕๗

จะดำเนินการอย่างไร การพัฒนาวัดจึงจะสำเร็จตามเป้าหมาย? (คำถามจากพระภิกษุ)

หลวงพ่อตอบปัญหา
 

หลวงพ่อตอบปัญหา พระราชภาวนาจารย์

        วัดในท้องถิ่นยากจนพัฒนาได้ยาก เพราะประชาชนในเขตนั้นไม่ค่อยมีปัจจัยช่วย ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้ปัจจัยในการพัฒนาวัด หากท่านเป็นพระสังฆาธิการ จะดำเนินการอย่างไร การพัฒนาวัดจึงจะสำเร็จตามเป้าหมาย? (คำถามจากพระภิกษุ)


ANSWER คำตอบ

      เวลาจะทำอะไรก็ตาม คนส่วนมากในโลกนี้มักจะนึกถึงเงินทุนก่อน จะทำกิจการ จะตั้งบริษัท เขาก็นึกถึงเงินก่อน พระจะพัฒนาวัด ก็นึกถึงเงินก่อน ลูกเศรษฐีจะสร้างฐานะ ก็แบมือขอเงินพ่อ     จะเอาเท่านั้นล้านเท่านี้ล้าน พ่อก็ใจดีให้ไป ให้ไปแล้วแทนที่จะได้ผลงอกเงย เปล่าหรอก ไม่กี่วัน    ทำเจ๊งเสียอีกแล้ว เงินที่ให้ไปก็หมด

    หลวงพ่อหลวงพี่ทั้งหลายพอจะพัฒนาวัด ก็คิดหางบหาเงินจากที่โน่นที่นี่มาพัฒนาวัด โดยอาจไม่ได้ดูว่า บุคลากรในวัดมีความรู้ความสามารถพอแล้วหรือยัง ไปบอกบุญกับญาติโยม พอได้เงินมาแล้วก็ทำไม่สำเร็จ เพราะความสำเร็จทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ที่บุคคลที่ฝึกดีแล้ว ถ้าไม่ฝึกลองดูสิ      ดูง่าย ๆ เวลาไปเจอขอทาน สงสารขอทานเหลือเกิน ส่งเงินให้ล้านหนึ่ง รับรองเจ้าขอทานคนนั้นเดินไปไม่พ้น ๑๐ ก้าว ก็โดนเหยียบตาย อย่าว่าแต่เป็นล้านเลย ให้ไปแค่แสนเดียว หมื่นเดียว เดี๋ยวก็ไปโดนเหยียบตาย ไม่สามารถจะเอาเงินนั้นไปใช้ประโยชน์ เพราะคุณภาพของคนในสังคมยังใช้     ไม่ได้

    เมื่อเราเริ่มสร้างวัดพระธรรมกาย เมื่อ ๔๐ กว่าปีที่แล้ว (พ.ศ. ๒๕๑๒) คุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง เก็บรวบรวมเงินไว้ได้ ๓,๒๐๐ บาท พอถึงเวลาจะสร้างวัด         ผมถามคุณยายว่า “ยาย เราจะมีปัญญาสร้างวัดได้หรือ? เรามีเงินอยู่เพียงแค่นี้”

     คุณยายท่านก็ถามย้อนกลับมาว่า “ถ้าเราจะสร้างวัด เราจะต้องใช้เงินสักเท่าไรจึงจะพอ       บนเนื้อที่ ๑๙๖ ไร่ (ที่ดินที่ได้รับบริจาคมา)” ก็คำนวณออกมาคร่าว ๆ แล้วบอกคุณยายว่า “อย่างน้อย ๑๕๐ ล้าน ถึง ๒๐๐ ล้าน”

    ตอนนั้น ผมยังไม่ได้บวช คุณยายท่านเป็นอาจารย์สอนภาวนา อบรมพระทุกรูปในวัดนี้มาตั้งแต่เป็นฆราวาส ท่านก็บอกว่า “ได้ สำเร็จถมเถไป” “จะสำเร็จได้อย่างไรล่ะยาย? เรามีแค่ ๓,๒๐๐ บาท เท่านั้น” ท่านก็บอกว่า “สำเร็จสิ” ท่านพูดขึงขัง ไม่ได้พูดเล่น ๆ “ที่สำเร็จน่ะ จะเอาทุนมาจากไหนล่ะยาย?”

    คราวนี้ท่านขยายความ ซึ่งจริง ๆ แล้วเราได้ยินประโยคนี้กันบ่อย ๆ คือ สีเลน โภคสัมปทา “ศีลทำให้เกิดโภคทรัพย์” คุณยายท่านไม่ได้อ้างบาลี ท่านพูดง่าย ๆ ว่า “พวกคุณเคยคิดกันบ้างไหมว่า ถ้ามีเงินร้อยล้าน กับเอาคนมาสักร้อยสองร้อยคนมาฝึก เพื่อให้ได้คนที่รักศีลยิ่งกว่าชีวิตขึ้นมา   สักกลุ่มหนึ่ง ไม่ต้องศีลอื่นหรอก ศีลห้านี่แหละ คุณคิดว่าจะฝึกคนแบบนี้ขึ้นมาได้สักกี่คน?”

    ผมนั่งคิด พวกเราทีมงานที่จะสร้างวัด ก็หยุดคิดกันทีเดียว คิดแล้วก็ตอบท่านไปว่า  “หมดเงินไปร้อยล้านแล้ว ไม่แน่ว่าจะฝึกได้สำเร็จหรือเปล่า” คุณยายหัวเราะแล้วก็บอกว่า “นั่นน่ะสิ การที่มีคนรักศีลยิ่งกว่าชีวิตเกิดขึ้นที่ไหนสัก ๑ คน ที่นั่นถือว่ามีสมบัติเกินกว่าร้อยล้าน แต่เดี๋ยวนี้ยายมีพวกคุณอยู่ตั้งกว่าสิบคน เพราะฉะนั้นต้องถือว่า ขณะนี้ยายมีทุนอยู่แล้วเป็นพันล้าน เพราะฉะนั้นต้องสร้างวัดนี้สำเร็จแน่นอน” 

    ผมเถียงท่านไม่ขึ้น เพราะท่านพูดด้วยเหตุผล แล้วท่านก็ขยายความต่อไปอีกว่า “คุณเชื่อยายเถอะ หลวงพ่อวัดปากน้ำเคยให้ยายนั่งเข้าธรรมกายไปดูแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ยายเคยเห็นแล้วว่า อานุภาพของศีลนั้น ถ้าใครรักษาได้แล้ว เป็นต้นสมบัติจริง ๆ” ผมเชื่อ ทั้งที่ลึก ๆ ในใจอดค้านไม่ได้ แต่ความที่เคารพครูบาอาจารย์ และโดยเหตุโดยผลก็จริงของท่าน จึงตั้งใจทำตามท่าน พอลงมือสร้างวัด ท่านก็สั่งคนที่สร้างวัดให้ตั้งใจรักษาศีลกันอย่างเคร่งครัด การรักษาศีลอย่างเคร่งครัด ก็มีความจำเป็นว่าต้องฝึกสมาธิให้มาก ถ้าไม่ฝึกสมาธิ บวชเป็นสิบ ๆ พรรษา ก็ยังได้ยินเสียงตบยุงกันเปาะแปะ 

    ครั้นฝึกสมาธิหนักเข้า ก็จริงอย่างท่านว่า ยังไม่ทันจะได้บวชเลย ไปบอกบุญที่ไหนเขาก็     เชื่อ เพราะหน้าตาเราผ่องใส เขาเชื่อว่า เราไม่หลอกลวงเอาเงินเขาไปใช้ส่วนตัว เขาควักเงินให้ง่าย ๆ      ไปบอกเขาว่าจะขอบริจาคเงินมาสร้างวัด อยากให้มีวัดที่เน้นการปฏิบัติธรรมเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นวัดของพระพุทธศาสนา ของทั้งโลกเลย เรามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไรก็บอกไป เขาก็เชื่อ เพราะศีลเราดี สมาธิมั่นคง ทำให้เราผ่องใส จิตใจเบิกบาน คนมีศีลไม่จำเป็นต้องประกาศตัว ชาวบ้านเขา      ดูออก เพราะหน้าตาผ่องใส ตรงกันข้าม ถึงจะบวชมาหลายสิบพรรษา ถ้าเรารักษาศีลไม่ดี ไม่มีทางผ่องใส คนมีศีล ใจข้างในใส ข้างนอกก็ผ่องออกมา เราตั้งใจทำภาวนาและบอกบุญกันเรื่อยไป     ก็ได้ปัจจัยมาสร้างวัด 

    ต่อมา เมื่อบวชแล้ว ประชาชนก็ยิ่งเชื่อ เพราะเขาเห็นเรามาตั้งแต่ยังไม่บวช พอเขาเชื่อ เขาก็บริจาคทรัพย์มาให้สร้างเพิ่มขึ้นอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ขอให้เชื่อเถิดว่า ถ้าตัวของเรามีศีล มีสมาธิ    มีปัญญาจากการศึกษาธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครมาถึงเรา เขาเป็นต้องได้ศีล ได้สมาธิ    ได้ปัญญาทุกคนไป บุคคลเหล่านี้ถึงเวลาถ้าตัวเองมีปัจจัย ก็บริจาคมาช่วยสร้างวัด ถ้าไม่มีปัจจัย     ก็ออกเรี่ยวแรงมาช่วยกันก่อสร้าง เพราะเขาเห็นคุณค่าของพระศาสนา เขาเห็นว่า ตั้งแต่เข้าวัดมานี้ ทำให้เขาได้ปรับปรุงตัวเองขึ้นมา ไม่ใช่ผมยกตัวเองว่าวิเศษ แต่อยากจะให้ข้อคิดเท่านั้น ถ้ายกตัวอย่าง           พระเกจิอาจารย์ยิ่งเห็นได้ชัด หลวงปู่ขาว อนาลโย พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ทางภาคอีสาน ท่านอยู่กลางป่า แต่ว่าตื่นเช้าขึ้นมา มีชาวกรุงเทพฯ อุตส่าห์ขับรถไป จัดรถทัวร์ไป                 นั่งเครื่องบินไปหาท่าน หุงข้าวจากกรุงเทพฯ แล้วนั่งเครื่องบินไปรอ พอเช้าท่านบิณฑบาต ท่านจึงได้ข้าวที่หุงที่กรุงเทพฯ ฉัน ทำไมท่านได้ ศีลท่านดี สมาธิท่านดี อำนาจศีลของท่านสามารถดึงดูดทรัพย์ไปหาท่านได้ พอท่านคิดจะสร้างวัด ก็มีคนเอาปัจจัยไปถวาย ไปอ้อนวอนขอถวายเสียด้วยซ้ำ           ของใช้ ของขบฉัน เช้าขึ้นมาก็มีคนไปถวายท่าน โดยท่านไม่เคยเรียกร้องจากใคร ทำไมล่ะ? ก็เพราะศีลของท่านดี สมาธิท่านดี นี่คืออานุภาพของศีล “สีเลน โภคสัมปทา” ศีลเป็นต้นสมบัติ แม้อยู่กลางป่า กันดารกว่าวัดของหลวงพ่อหลวงพี่ที่นั่งอยู่นี่หลายรูป แต่ว่าท่านก็สร้างของท่านได้ ศีลเป็นต้นสมบัติ นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันได้

    เพราะฉะนั้น หลวงพี่ทั้งหลาย พระคุณเจ้าทุกรูป โดยเฉพาะพระสังฆาธิการ เมื่อตั้งใจ        จะพัฒนาวัด อย่าเพิ่งห่วงเรื่องเงินว่าจะได้จากที่ไหน ลืมไปก่อน แล้วมองย้อนมาดูตัวเราว่า ศีลดีไหม นอกจากศีลดี มารยาทของเราดีไหม แล้วคนในวัด ตั้งแต่พระลูกวัด สามเณรภายในวัด เด็กวัด มรรคนายก อุบาสก อุบาสิกา ที่เราใกล้ชิดนั้น มีศีลแล้วหรือยัง? ถ้ายัง อย่าเพิ่งไปทำอะไร ฝึกคนตรงนี้ก่อน ถ้ายังไม่ได้ฝึกคน อย่าเพิ่งไปก่อสร้างอะไร เพราะถ้าไม่ฝึกคน ถึงแม้จะหาทางสร้างวัด จนสำเร็จสวยงาม ก็ดูแลรักษาไม่ได้ ดูง่าย ๆ เอาแค่สร้างส้วมให้ใช้ก็เหม็นหึ่งแล้ว รักษาความสะอาดกันไม่เป็น เพราะฉะนั้นเรื่องเงินอย่าเพิ่งพูดถึง ฝึกคนไปก่อน นี่เป็นคำตอบ 

    นอกจากนั้น อะไรที่จะทำให้บุคลากรภายในวัดเสียศักดิ์ศรี ต้องกำจัดให้หมด เช่นอะไรบ้าง? เช่น หมา แมว คนเกเรทั้งหลาย ทุกวันนี้เรามองต่างมุมกันมากในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นใครอยากจะเห็นหมาขี้เรื้อน จะไปดูที่ไหน? ไปดูหมาวัด อยากจะเห็นแมวตาแฉะ ขาหัก ไปดูที่ไหน? ไปดูที่วัด      อยากจะเห็นเด็กเกเรที่พ่อแม่เลี้ยงไม่ไหว แล้วตัดหางปล่อยวัด ก็ไปดูได้ที่วัด อย่างนี้วัดเสียศักดิ์ศรีหมด ไม่น่าเข้าเสียแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ทำให้วัดเสียศักดิ์ศรี จัดการกำจัดออกให้หมด ทั้งหมา ทั้งแมว อย่าไปเลี้ยง วัดมีให้พระให้สามเณรอยู่ ให้อุบาสกอุบาสิกาที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมอยู่ ไม่ใช่      ที่เลี้ยงหมา นี่พูดตามเหตุตามผล 

    ถ้าดูแลให้ถ้วนถี่ เดี๋ยวก็มีคนมาช่วยพัฒนาวัด หรือแม้ไม่มีใครช่วย ลำพังพระก็พอมีกำลังทำ เพราะไม่มีสุนัขไม่มีแมวมาเพิ่มงานให้ คิดง่าย ๆ เมื่อก่อนนี้ที่นี่มีพระอยู่ประจำไม่กี่รูป เนื้อที่วัด  ๑๙๖ ไร่ สาธุชนมาวัดในวันอาทิตย์เป็นพันคน ยังทำได้ขนาดนี้ ขณะที่หลาย ๆ วัดมีพระมากกว่าเสียอีก 

    ถ้ารักจะทำงานใหญ่ ต้องเอาอุเบกขานำหน้า และต้องฝึกคน ที่สำคัญคนแรกที่ควรจะฝึกคือตัวเราเอง ฝึกให้มีศีล รักษาศีลให้ดี แล้วเงินสร้างวัดจะมาเอง..   

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล