ฉบับที่ ๒๕ ประจำเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗

ความสะอาด เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

 


_______________________________________________________________
เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนา พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)

 

              
ฝึกตนให้เป็นคนรักความสะอาด

             มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง คือทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ บางคนเห็นแล้วก็ผ่านเลยไป แต่ว่าบางคนเห็นแล้วก็เก็บเอาไปคิด คิดแล้วก็ทำให้เกิดประโยชน์

             หลวงพ่อเองเมื่อก่อนนี้เห็นอะไรก็เคยเก็บเอาไปคิดเหมือนกัน พอคิดหนักเข้าๆ ก็ได้คำตอบ แต่เรื่องที่จะเล่าให้พวกเราฟังนี้ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ท่านอธิบายให้ฟัง เรื่องมีอยู่ว่า

              วันหนึ่ง หลวงพ่อเห็นคุณยายอาจารย์ฯ ซึ่งท่านเพิ่งหายป่วยได้ไม่นาน แต่ทันทีที่ท่านหายป่วย ท่านก็บอกเด็กๆ ให้จัดผ้าขี้ริ้วมาให้ แล้วท่านก็พยายามเช็ดบานหน้าต่าง เช็ดกระจก เช็ดทุกซอกทุกมุมในกุฏิของท่านตามแต่กำลังท่านจะให้

              ที่ท่านไม่ใช้ให้ใครทำ เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ท่านจึงเช็ดถู ทำความสะอาดของท่านเองหลวงพ่อก็เลยถามท่านว่า "ยาย ยายเพิ่งหายป่วย ทำไมยายเที่ยวมาก้มๆ เงยๆ ทำความสะอาดกุฏิอยู่อย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก"

              คุณยายตอบว่า "ยายหายดีแล้ว กุฏิของเรา เราต้องรีบเช็ด ไม่รีบเช็ดไม่ได้หรอกท่าน"

              "จะเสียหายอะไรนักหรือยาย รอไว้ให้แข็งแรงอีกสักหน่อยค่อยเช็ดก็ได้ แต่จริงๆ แล้ว กุฏิยายนี้ก็ต้องถือว่าสะอาดมากแล้ว"

              คุณยายบอกว่า "ใช่ ก็สะอาดหรอก แต่ว่ามีทางทำให้สะอาดมากกว่านี้ได้ก็ต้องทำ เพราะว่ามันจะเป็นผลหยาบละเอียดต่อเนื่องกัน"
หลวงพ่อก็ถามว่า "มันหยาบ มันละเอียดต่อเนื่องกันอย่างไรหรือยาย"

              ท่านตอบว่า "เวลาเราทำความสะอาด ก็เป็นบุญส่วนละเอียดส่วนหนึ่งเกิดขึ้นในใจ ทำให้ชุ่มใจชื่นใจแล้วก็เก็บสะสมเอาไว้ในใจ แต่บุญอีกส่วนหนึ่งนั้น จะก่อให้เกิดเป็นวิมานของเรารอท่าไว้บนสวรรค์ ตายแล้วเรายังไม่หมดกิเลส เรายังต้องไปพักอยู่ที่นั่น บริวารของเราเขาก็ไปอยู่ที่นั่น บางคนที่ตายไปก่อนเขาก็ไปรอท่าเรา ไปอยู่เฝ้าวิมานให้เรา

              แต่ว่ามีข้อที่ต้องรู้นะท่านว่า "กุฏิของเรา หรือที่อยู่ของเราบนพื้นมนุษย์นี้ ถ้าเราปล่อยปละละเลยไม่ทำความสะอาดให้เรียบร้อย วิมานของเราที่เกิดขึ้นก็จะขุ่นมัวตามไปด้วย ยิ่งเราปล่อยกุฏิ ปล่อยที่อยู่อาศัยของเราให้รกรุงรังเท่าไร วิมานของเราก็หมองเท่านั้น วิมานเราหมองเท่าไหร่ใจของเราก็หมองตามโดยที่เราไม่รู้ตัวเท่านั้น พอใจหมองตาม โอกาสที่เราจะเจาะลึกเข้าไปถึงธรรมะละเอียดๆ ก็หมดสิทธิกัน"

              หลวงพ่อได้ฟังคุณยายพูดอย่างนี้ก็ตกใจ และเมื่อได้กลับมานั่งพิจารณา มานั่งสมาธิดู ก็เห็นจริงตามที่คุณยายว่า แล้วก็มองทะลุต่อไปอีก ไม่ทราบว่าพวกเราเคยสังเกตกันบ้างไหม

              ยกตัวอย่าง เพื่อนของเราบางคนเวลาซื้อเสื้อผ้ามาใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นกางเกง หรือจะเป็นเสื้อก็ตาม ซื้อมาพร้อมกับเรา ใส่พร้อมกับเรา ทำงานร่วมกับเราตลอดทั้งวัน โดยไม่ได้เกี่ยงงาน ไม่ได้หนีงาน เราทำอย่างไรเขาก็ทำอย่างนั้น ทำงานหัวหกก้นขวิดมาด้วยกัน แต่ว่าเราจะ สามารถแบ่งคนออกได้ถึง ๓ ประเภทด้วยกันคือ

คนประเภทที่ ๑
ทำงานเหน็ดเหนื่อย สมบุกสมบันเท่ากับเรา แต่ว่าเสื้อผ้าของเขาก็ยังสะอาดไม่เปื้อนไม่เปรอะ ผิวพรรณของเขายังผ่องใส ทั้งที่อยู่กลางแดดเปรี้ยง กับเรานี่แหละ แต่ว่าหน้าของเขาก็ยังใสกว่าหน้าของเรา นี่พวกหนึ่ง

คนประเภทที่ ๒
ทำงานอยู่กับเรา เหน็ดเหนื่อยเท่ากับเรา เขาก็มอมเหมือนกับเรา หน้าตาม่อลอกม่อแลกเหมือนกับเรา นี่อีกพวกหนึ่ง

คนประเภทที่ ๓
บางทีทำงานไม่ค่อยจะได้เรื่องด้วยซ้ำ แต่ว่าเสื้อผ้ากลับเลอะเทอะเปรอะเปื้อนหนักกว่าเราเข้าไปอีก หน้าตาก็ทั้งเกรียม ทั้งดำ ทั้งหมอง ดีไม่ดีสิวขึ้นจนกระทั่งหน้าเหมือนอย่างกับหน้าของ ไก่ชน

              หลวงพ่อสงสัยเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นเด็กแล้ว แต่ว่ายังหาคำตอบไม่ได้ พอคุณยายพูดอย่างนั้น กลับไปถึงกุฏินั่งเข้าที่จึงมองทะลุที่เคยหาคำตอบมาตั้งเป็นสิบๆ ปี เพิ่งจะเจอวันนี้เอง ว่าถ้าคนใดมีใจรักความสะอาดมาข้ามภพข้ามชาติ ที่อยู่อาศัยก็ปัดกวาดเช็ดถูมาอย่างดีเยี่ยม วัดวาอารามก็ช่วยกันรักษาความสะอาดมาอย่างดี ทำให้เกิดมาชาตินี้ ไม่ว่าจะทำงานสมบุกสมบันเท่าไร ผิวพรรณก็ยังผ่องใส สว่าง สะอาด เสื้อผ้าก็ไม่เปรอะเปื้อนอะไรง่ายๆ

              คนที่ขี้เกียจพอๆ กับเรา เขาก็ขุ่นมัวไปบ้างเหมือนอย่างกับเรา

              ส่วนคนที่แย่กว่าเรา เนื่องจากเขาขี้เกียจมากกว่าเรา สกปรกมากกว่าเรา บ้านช่องห้องหอไม่เคยเก็บไม่เคยกวาดเลย น้ำท่าก็ขี้เกียจจะอาบ วัดวาอาราม ของส่วนรวมของสาธารณประโยชน์ไม่เคยช่วยกันดูแลรักษา แถมยังไปทำให้สกปรกเสียอีกด้วย เพราะฉะนั้นชาตินี้จึงม่อลอกม่อแลกดูไม่ได้

              หรือแม้แต่ลูกของเราเองก็เหมือนกัน ลองไปสังเกตดู ลูกเรา ๓ คน ๕ คน พอถึงวันขึ้นปีใหม่ หรือว่าวันสงกรานต์ เราก็ซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ มาให้ ปรากฏว่าลูกบางคนใส่ยังไม่ทันข้ามวันดำเป็นขี้กะปิ แต่ว่าลูกบางคนใส่ไปวิ่งเล่นทั้งวันกลับไม่เปรอะไม่เปื้อน ก็มาจากตรงนี้แหละลูกเอ๊ย
             
              เพราะฉะนั้น การที่หลวงพ่อใช้ให้ช่วยกันปัดกวาดเช็ดถูอะไร ให้ดีใจเถอะว่า บุญนี้จะติดตัวเราไป ทำให้เกิดไปกี่ภพกี่ชาติผิวพรรณจะผ่องใส หน้าตาสะอาด ไม่มีมลทิน โอกาสที่หน้าจะเป็นสังกะตัง มีสิวขึ้นจนกระทั่งหน้าเห่อเหมือนอย่างกับไก่ชนที่เขาเพิ่งเอาไปตีกันมานั้น ไม่มี แล้วถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีก บ้านช่องห้องหอของเรา ก่อนจะนอนก็ควรเก็บกวาดเช็ดถูให้เรียบร้อย

              เมื่อเช้านี้ ตื่นนอนแล้วเก็บที่นอนกันบ้างหรือเปล่า ?

              หลวงพ่อเองเมื่อเล็กๆ ก็ขี้เกียจเหมือนกัน ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดว่า ไม่ต้องเก็บหรอก เพราะว่าคืนนี้ก็ต้องนอนอีก ปล่อยไว้อย่างนั้นเถอะ เดือนหนึ่ง ๒ เดือนก็ทำอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง โยมพ่อท่านเห็นลูกชายสกปรกมากนักก็ทนไม่ได้ แต่ท่านไม่รู้หรอกว่าเรื่องวิมานเรื่องสวรรค์เป็นอย่างไร ท่านเห็นหลวงพ่อไม่เก็บที่นอน ท่านเลยว่าเอา ว่าแรงเสียด้วย ท่านว่าอย่างนี้

              "ลูกเอ๊ย รู้ไหมสุนัขเวลาตื่นขึ้นมา ก่อนอื่นเลยมันทำอะไร"
ตอนนั้นหลวงพ่อยังอยู่ชั้นประถม ก็ตอบท่านไป "มันตื่นมันก็บิดขี้เกียจก่อนนะพ่อ"

              "แล้วมันทำอะไรอีก"

              "มันก็สะบัดขน"

              "มันสะบัดขนทำไมลูก"

              "มันคงทำความสะอาดตัวเองมั้ง"

              "ใช่ ขนาดสุนัขมันยังต้องสะบัดขนทำความสะอาด แล้วเราเป็นคนนอนแล้วมุ้งม่านไม่เก็บ ไม่ทำความสะอาด สงสัยลูกของพ่อท่าจะแย่กว่าสุนัขเสียแล้ว" ท่านยังแถมต่ออีกด้วยว่า
"แต่ว่าที่บิดขี้เกียจอย่างสุนัข ไม่ต้องไปเอาอย่างมันหรอกนะ"

              เพราะฉะนั้น จำไว้ ใครที่มีลูกมีหลานก็สั่งสอนเสียด้วยว่า ตื่นนอนขึ้นมาอย่ามัวแต่บิดขี้เกียจ ตื่นขึ้นมาแล้วต้องเก็บที่นอน พับให้เรียบร้อย อันไหนควรตากก็เอาไปตาก อันไหนควรซักก็เอาไป บ้านช่องห้องหอต้องทำความสะอาดให้ดี ไม่ปล่อยให้หยากไย่ใยแมงมุมรกรุงรัง

              แม้ที่สุด มาวัดก็ต้องช่วยกันรักษาความสะอาด แล้วจะกลายเป็นบุญที่จะทำให้เราไม่ว่าจะเกิดไปกี่ภพกี่ชาติ ผิวพรรณจะสะอาดผ่องใส หน้าตามีสง่าราศี มีน้ำมีนวล เสื้อผ้าไม่สกปรกมอมแมม นี่เป็นอย่างนี้นะลูกเอ๊ย

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

* * อยู่ในบุญ แนะนำ/เกี่ยวข้อง * *

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล