พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า โภคะเป็นอันมากย่อมล่วงเลยสัตว์เหล่าอื่นไป แต่เกิดขึ้นในที่ทั้งปวงแก่ผู้มีบุญที่ได้ทำไว้ดีแล้ว ใช่แต่เท่านั้น รัตนะทั้งหลายย่อม เกิดขึ้นแม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิด
สมบัติอจินไตย คือ มหาสมบัติที่เกิดขึ้นด้วยบุญฤทธิ์ อยู่เหนือการจินตนาการของคนทั่วไป เป็นของไม่ทั่วไปแก่คนที่ไม่ได้สั่งสมบุญเอาไว้ เป็นสมบัติเคียงคู่ผู้มีบุญเท่านั้น เช่น รัตนะ ๗ คือ จักรแก้ว แก้วมณี ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว นางแก้ว ช้างแก้ว และม้าแก้ว เป็นของคู่บุญของพระเจ้าจักรพรรดิ ไม่ใช่เป็นของสาธารณะแก่คนทั่วไป แล้วภูเขาทอง... ซึ่งเป็นสมบัติอจินไตยที่เคยเกิดขึ้นในยุคพุทธกาล เกิดขึ้นมาได้อย่างไร พวกเรามีสิทธิ์ได้ครอบครองบ้างมั้ย...? ก่อนจะเฉลย เรามาติดตามเรื่องราวภูเขาทอง สมบัติอจินไตยของมหาเศรษฐีในสมัยพุทธกาลกันก่อน
ในกรุงพาราณสี ได้มีธิดาของเศรษฐีคนหนึ่ง เป็นผู้มีรูปงาม เมื่ออายุราว ๑๖ ปี พ่อแม่ได้สร้างปราสาท ๗ ชั้นให้เธออยู่ สั่งหญิงรับใช้ให้คอยดูแลเป็นอย่างดี วันหนึ่ง วิทยาธรตนหนึ่งกำลังเหาะไปทางอากาศ เห็นนางกำลังยืนอยู่ที่หน้าต่าง เกิดความสิเน่หา จึงเข้าไปทำความชิดเชยกับเธอ ด้วยอาศัยการอยู่ร่วมกัน กับวิทยาธร ไม่นานเธอจึงตั้งครรภ์ ครั้น ๑๐ เดือนล่วงไป ธิดาเศรษฐีได้ให้กำเนิดบุตรชาย ด้วยความเกรงว่าพ่อแม่จะรู้ นางจึงให้สาวใช้ นำภาชนะใหม่มา ให้เด็กนอนในภาชนะ แล้วสั่งให้เอาไปลอยน้ำ สาวใช้ก็ทำตามทุกอย่าง
ในเช้าวันนั้น มีหญิง ๒ คน กำลังอาบน้ำอยู่ในด้านใต้แม่น้ำคงคา เห็นภาชนะใบนั้น ถูกน้ำพัดมาอยู่ ครั้นช่วยกันเปิดถาดออกดู ต่างคนต่างก็อยากได้ทารกคนนี้มาเลี้ยง เมื่อตกลงกันไม่ได้ จึงพากันไปเฝ้าพระราชาเพื่อทูลให้ช่วยวินิจฉัย พระราชาทรงวินิจฉัยให้หญิงซึ่งเป็นอุปัฏฐากของพระมหา กัจจายนะเป็นผู้นำเด็กไปเลี้ยง เมื่อนางได้เด็กแล้ว ก็เลี้ยงดูอย่างดี ได้ตั้งชื่อให้ว่า "ชฎิล"
เมื่อหนูน้อยเติบโตอายุราว ๗ ขวบ นางได้มอบให้พระเถระเพื่อให้นำไปบวชเป็นสามเณร พระเถระตรวจดูด้วยญาณทัสสนะว่า หนูน้อยคนนี้เป็นผู้มีบุญมาเกิด เมื่อโตขึ้นจะได้ครอบครองมหาสมบัติ ทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ ครั้นรับเด็กมาแล้ว แทนที่จะให้บวชเป็นสามเณร ท่านกลับพาไปบ้านของอุปัฏฐากอีกคนหนึ่ง ในกรุงตักสิลา ได้บอกให้อุบาสกช่วยเป็นภาระเลี้ยงดู อุบาสกก็ไม่ขัดข้อง รับมาเลี้ยงดูเป็นอย่างดีประหนึ่งว่าเป็นลูกของตน
ในบ้านของอุบาสกนั้น มีสินค้าที่สั่งสมไว้นาน ๑๒ ปี เพราะขายไม่ออก เมื่ออุบาสกมีกิจธุระนอกบ้าน จึงฝากหนูน้อยชฏิลช่วยขาย หนูน้อยก็นั่งขายตามที่บอกทุกอย่าง แล้ววันนั้น นับเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก มีผู้หลั่งไหลมาซื้อของที่ร้านมากเป็นพิเศษ ที่เป็นเช่นนี้เพราะเทวดาได้ช่วยดลใจลูกค้าผู้ต้องการสิ่งของต่างๆ ให้มุ่งหน้าไปยังร้านค้าของหนูน้อยชฏิลเท่านั้น ทำให้หนูน้อยขายสินค้าที่สะสมไว้นาน ๑๒ ปี หมดภายในวันเดียว
ครั้นตกเย็นอุบาสกกลับจากไปทำธุระไม่เห็นสินค้าในร้านก็ตกใจมาก นึกว่าถูกใครมาปล้นหรือขโมยไปหมดแล้ว เพราะสินค้าที่เอาไว้ขายไม่เหลือแม้สักชิ้นเดียว ครั้นไต่ถามลูกชาย ก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ทั้งตื่นเต้นปีติยินดีและอัศจรรย์ใจ หนูน้อยบอกว่า ตัวเองได้ขายสินค้าไปหมดแล้ว พร้อมกับนำเงินค่าสินค้ามาให้
เราจะเห็นว่า " ผู้ที่ไม่ได้สั่งสมคุณความดีมาก่อน เมื่อประกอบกิจใดๆ ถึงขยันขันแข็งสักปานใด ผลแห่งความดีกว่าจะปรากฏเต็มที่ ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ส่วนผู้ที่สั่งสมคุณความดีมาก่อน เมื่อทำความดี ผลดีก็ปรากฏทันที ส่งผลให้ชีวิตมีความเจริญก้าวหน้าเหนือกว่าบุคคลทั้งหลาย"
ต่อมา เมื่อเติบโตเป็นหนุ่ม จึงให้แต่งงานกับลูกสาวคนโต แล้วสั่งบริวารให้ไปช่วยกันสร้างคฤหาสน์หลังใหญ่ให้อยู่ เมื่อคฤหาสน์สร้างเสร็จ ในทันทีที่ชฎิลพร้อมด้วยภรรยาจะก้าวข้ามธรณีประตู เหตุมหัศจรรย์ก็ได้บังเกิดขึ้น คือ ภูเขาทองประมาณ ๘๐ ศอก ได้ชำแรกแผ่นดิน ผุดขึ้นที่หลังบ้าน แล้วข่าวนี้ก็แพร่ไปทั่วพระนคร จนพระราชาต้องแต่งตั้งให้เป็นเศรษฐีประจำเมือง ท่านชฏิลไม่เคยทำบุญ และไม่เคยคิดว่าจะได้ภูเขาทอง ที่เป็นเช่นนี้เพราะบุญในอดีตนั่นเอง.. แล้วบุญอะไรล่ะที่ทำให้ท่านได้ครอบครองภูเขาทอง?
บุญ...เบื้องหลังการอุบัติขึ้นของ..ภูเขาทอง..
ในยุคหลังพุทธปรินิพพานของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธได้พร้อมใจกันสร้าง มหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มหาชนต่างก็ได้ทุ่มเทกำลังทรัพย์และกำลังสติปัญญาอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้น พระเจดีย์ทองก็ยังไม่เสร็จ พระอรหันต์องค์หนึ่งเห็นว่า "บุญที่เกิดจากการสร้างพระเจดีย์นี้ เป็นบุญใหญ่ มีอานิสงส์มาก จะส่งผลให้ผู้สร้างได้สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ" ท่านจึงเดินเข้าไปบ้านโยมอุปัฏฐาก ให้มาช่วยกันสร้างหน้ามุขด้านทิศเหนือ ของพระเจดีย์ที่ยังไม่เสร็จ เพราะยังขาดทองอยู่เป็นจำนวนมาก โยมอุปัฏฐากที่มีทองก็บริจาคทอง ที่มีเงินก็ถวายเงิน ไปแลกซื้อทองอีกทีหนึ่ง เมื่อเดินมาถึงบ้านนายช่างทอง ซึ่งบังเอิญว่า กำลังทะเลาะกับภรรยาพอดี ช่างทองจึงระบายโทสะโดยไม่ยั้งคิดว่า "ท่านจงโยนพระศาสดาของท่านลงน้ำไปเถอะ อย่ามาวุ่นวายแถวนี้เลย" ภรรยารีบเตือนสติสามีว่า "พี่ทำ กรรมหนักเสียแล้ว พูดกระทบพระพุทธเจ้า มันบาปหนักมากนะพี่ พี่ไม่ควรไปว่าพระพุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลกเลย"
ช่างทองได้ฟังดังนั้นก็เกิดความสลดใจ รีบเข้าไปขอขมาต่อพระเถระ แต่พระเถระกล่าวว่า " ท่านไม่ได้ล่วงเกินอาตมาเลย ท่านล่วงเกินพระบรมศาสดาต่างหาก" ท่านแนะนำให้ช่างทอง ทำหม้อดอกไม้ทองคำสามหม้อ ไปบรรจุไว้ภายในพระเจดีย์ ที่กำลังก่อสร้าง ซึ่งเป็นสถานที่ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ แล้วจึงค่อยมากล่าวคำขอขมา ต่อหน้ามหาเจดีย์ ช่างทองก็ทำตามคำแนะนำทุกอย่าง ด้วยผลกรรมที่ช่างทองได้ว่าร้ายต่อพระบรมศาสดา ผู้บริสุทธิ์ยิ่ง แม้ตนได้ขอขมาไปแล้วก็ตาม แต่วิบากกรรมยังส่งผลให้ช่างทองถูกลอยน้ำถึง ๗ ชาติ และด้วยบุญจากการที่ได้ร่วมกันสร้างพระเจดีย์ ก็ได้มาโอบอุ้มช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายได้ทุกครั้ง
แม้ในภพชาติสุดท้าย ท่านจะถูกลอยน้ำ แต่บุญก็ได้มาโอบอุ้มเอาไว้ ทำให้รอดจากการจมน้ำตาย มีผู้นำไปเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เมื่อถึงคราวแต่งงานจะแยกครอบครัว บุญจากการทำหม้อดอกไม้ทองคำ ๓ หม้อไปบรรจุไว้ในพระมหาเจดีย์ ก็ส่งผลทำให้มีภูเขาทองผุดขึ้นหลังบ้าน ทำให้ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นมหาเศรษฐีประจำเมือง
ต่อมา เมื่อเศรษฐีตัดสินใจออกบวช ได้มอบมรดกให้ลูกชายทั้งสามได้ครอบครองสืบไป โดยยื่นจอบเพชรด้ามทองให้ลูกชายคนโต บอกให้ไปขุดตามใจชอบ ลูกชายคนโตกับคนกลาง ไม่สามารถขุดได้ เพราะไม่เคยทำบุญกับพ่อเอาไว้ ครั้นลูกชายคนเล็กขุดดูบ้าง ก็เป็นเหมือนสับดินเหนียว เศรษฐีได้บอกลูกๆ ให้ทราบว่า ภูเขาทองนี้เกิดขึ้นเพื่อตน กับลูกชายคนเล็กเท่านั้น ไม่ใช่ของสาธารณะ แก่คนทั่วไป หากลูกทั้งสองต้องการ ก็จงขอเอาจาก น้องคนเล็กเถิด จากนั้นก็ได้อำลาลูกๆ ทุกคน ออกบวช ท่านใช้เวลาบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ไม่นาน ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
สมบัติอจินไตย...เคียงคู่ผู้มีบุญ..
เราจะเห็นว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้สมบัติ อจินไตยทั้งนั้น ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นภูเขาทอง อย่างเดียว เราอาจได้ครอบครองโคตรเพชร ได้ภูเขาเพชรภูเขาพลอย ได้มหารัตนปราสาท ได้ต้นกัลปพฤกษ์ที่อำนวยความปรารถนาทุกอย่าง ได้ขุมทรัพย์ตักไม่พร่อง เป็นต้น แล้วแต่บุญพิเศษที่เราได้สั่งสมเอาไว้ ซึ่งกว่าที่ใครสักคนจะได้สมบัติ อจินไตย ล้วนมีบุญเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น บุญเท่านั้นจะอำนวยผลให้ได้สมบัติใหญ่ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็นของทิพย์ของพรหม และของพระนิพพาน ถ้าเราทำบุญใหญ่กว่านั้น ก็จะได้สมบัติใหญ่ที่ยิ่งกว่ามหาเศรษฐีในอดีต มีมหาสมบัติอัศจรรย์แล้ว จะได้ทำใช้เป็นอุปกรณ์ ในการสร้างบารมีอย่างเต็มที่
นักสร้างบารมีผู้มีบุญทั้งหลาย... คุณครูไม่ใหญ่ ได้ตอกย้ำมโนปณิธานให้กับพวกเราอยู่เสมอว่า "เราคือ นักสร้างบารมีพันธุ์รื้อวัฏฏะ มีเป้าหมายที่จะทำวิชชาปราบมาร เพื่อนำพาสรรพสัตว์ไปสู่ที่สุดแห่งธรรม ที่พักระหว่างทางคือ ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตบรมโพธิสัตว์" เสบียงในการเดินทางไกลจำต้องพรั่งพร้อมทุกอย่าง ทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และคุณสมบัติ ต้องพร้อมเสมอที่จะทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรของโลก โดยเฉพาะ... สมบัติอจินไตยควรจะเคียงคู่ผู้มีบุญทุกคน ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะใครบางคน เหมือนที่เคยเกิดขึ้น กับมหาเศรษฐีในสมัยพุทธกาลเท่านั้น
เมื่อทุกท่านมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างบารมีตามติดพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำภาษีเจริญ (สด จนฺทสโร) และคุณครูไม่ใหญ่เพื่อปราบมาร รื้อวัฏฏะ รื้อภพรื้อชาติ ตลอดจนสรรพสัตว์ทั่วแสนโกฏิอนันตจักรวาล ให้หยุดการเวียนว่ายตายเกิด กลับเข้าสู่สภาวะของกายเดิมจิตเดิมคือ เข้าถึงกายธรรมอรหัต มีจิตผ่องใสเป็นประภัสสร ได้เสวยเอกันตบรมสุขในอายตนนิพพาน ผู้เขียนคิดว่า ทุกท่านจึงควรได้เป็นผู้ครอบครอง สมบัติอัศจรรย์เหล่านั้น และได้ยิ่งกว่ามหาเศรษฐียุคพุทธกาลที่เคยได้มาแล้ว เพื่อจะได้เป็นอุปกรณ์สำคัญ ในการสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป การได้สมบัติจักรพรรดิตักไม่พร่อง จะต้องเป็นเรื่องปกติธรรมดา ของนักสร้างบารมีพันธุ์อจินไตยทั้งหลาย ตลอดปีที่ผ่านมานั้น เราได้สั่งสมบุญใหญ่ ที่เป็นมหัคคตกุศลเอาไว้มากมาย ความตระหนี่ที่ทำให้เกิด ผังจนแทบหลุดไปจากใจ นึกถึงคราใดก็ปลื้มปีติใจทุกครั้ง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ไปดึงเอามหาสมบัติทั้งหลายในโลกนี้มาสู่ตัวเรา แต่เราก็จะไม่ยั้งหยุดกับผลบุญเพียงเท่านั้น
ตราบใดที่ลมหายใจยังไม่สูญสิ้น...
ดวงชีวินยังไม่สลาย
หากสังขารยังไม่พังทลาย...
เราทั้งหลายจะมุ่งมั่นสร้างบารมี
จนกว่าจะได้กลับไปสู่ดุสิตบุรี
และถึงที่สุดแห่งธรรม