สมาธิเปลี่ยนชีวิต
เรื่อง : Son Backhome e-mail : [email protected]
หมอตรวจพบเนื้อร้ายและสงให้เจาะตับ เพื่อตรวจหาชนิดของมันแต่รายได้ของแม่ค้า ซึ่งทำมาค้าขายอยู่ที่สุพรรณบุรีกับสามีของเธอ ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ไม่ได้มีเงีนเหลือเฟือเพียงพอ ที่จะทำตามคำแนะนำของแพทย์ได้ อีกทั้งยังมีลูกต้อง เลี้ยงถึง ๒ คน
หลังจากไปทำเรื่องมอบร่างกายให้โรงพยาบาล เธอเดินคอตกกลับบ้าน พอเข้าบ้านก็เห็นกัลยาณมิตร ผู้หนึ่งคือคุณขนิษฐามาเยี่ยม ครั้นทราบเรื่องราวทั้งหมดจึงบอกว่า "เดี๋ยวอาทีตย์นี้จะพาไปกราบ หลวงพ่อที่วัดพระธรรมกายให้ท่านช่วยนะ" คุณสุดาตอบปฏิเสธ แต่กัลยาณมีตรขนีษฐาก็คะยั้นคะยอ ยี่งขึ้น "รำคาญที่สุด ตื้ออยู่ได้" นั่นคือสี่งที่คุณสุดาดิด แต่กัลยาณมีตรขนิษฐาก็ยังไม่ยอมแพ้เพราะตระหนักว่า บุญเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่ตกอยู่ ในความทุกข์ได้ ท้ายที่สุดคุณสุดาก็ตอบตกลงด้วยความเกรงใจ
"ตอนแรกดิฉันก็ยังลังเลใจว่าจะไปวัดดีไหม สุดท้ายจึงตัดสินใจไปวัดกับคุณขนิษฐาเมื่อปี ๒๕๒๖ เธอไม่ได้บอกว่าต้องแต่งกายอย่างไร ดิฉันก็เลยใส่เสื้อ สีชมพูขาว กางเกงยีนสามส่วน ตามเธอมาวัด เห็นสาธุชนสวมชุดขาวกันหมด จึงรู้สึกเขินเล็กน้อยถึงปานกลาง สักครู่หลวงพ่อก็มาถึง ทันทีที่ดีฉันมองเห็น ท่าน ใจก็ชุ่มชื่นลืมความเจ็บไข้ได้ป่วยหมดสี้น จากนั้น เขาก็พาเข้าไปกราบหลวงพ่อ บอกท่านว่า "ตัวลูกเป็น เนื้อร้าย" หลวงพ่อมองหน้าแล้วบอกว่า "โยมเป็น เช่นนี้ โยมต้องทำใจนะ" ดิฉันกราบเรียนว่า "ทำใจแล้วเจ้าค่ะ แต่ถ้าอยู่ได้อีกก็ดีจะได้เป็นร่มโพธี์ให้ลูกๆ" ท่านพยักหน้าช้า ๆ บอกว่า "เดี๋ยวเรามานั่งธรรมะ กันก่อน" ท่านหลับตานำนั่งสมาธิ ดีฉันมองซ้ายมองขวาเห็นทุกคนหลับตากันหมด แต่ตัวเองยังไม่ยอมหลับ เพราะไม่เคยหลับตาโดยที่ไม่ง่วงนอน อีกทั้งปกตี แม่ค้าขายของมีแต่ลืมตามองหาลูกค้า พลันดีฉันก็เหลือบไปเห็น พระแก้วใสท่านส่งยี้มให้ ใจก็นึกยี้มตาม มองท่านเพลีนจนไม่ทราบว่าเสร็จพีธี พอเหลียวกลับ มาก็เห็นหลวงพ่อมองมาที่เรา ดีฉันจึงรีบหลับตา กลัวท่านจะว่า หลวงพ่อก็ให้เข้าไปใกล้ ๆ แล้วถามว่า "สักครู่นี้โยมนั่งธรรมะแล้วเห็นอะไรมั้ย?" ก็ตอบท่านไปว่า "ไม่ได้นั่งหลับตาหรอก นั่งลืมตามองเห็น องค์พระธรรมจักรท่านยี้ม" หลวงพ่อก็บอกว่า "อ๋อ! พระธรรมกายจ้ะ โอ! เป็นนีมีตอันดีแล้วนะจะ" แล้วท่านก็พูดต่อว่า "โยม เรามาว่าไงว่าตามกันนะจะ" ดีฉันก็เลยร้อนรุ่มกลุ้มใจ เพราะจะไม่ให้กลุ้มได้อย่างไร คนไม่เคยคุ้นกัน อยู่ ๆ ก็มาบอกว่า ให้ว่า ไงว่าตามกัน สุดท้ายหลวงพ่อบอกว่า "ถ้าว่าไงว่าตามกันได้จะช่วยให้อยู่เป็นร่มโพธี์ของลูก ๆ" เท่านั้นดีฉันก็รีบรับปากว่า "ได้ค่ะ" ท่านให้ปฏีบัตีธรรมะ ๕ ข้อ คือ ๑) ใส่บาตรทุกเช้า ดีฉันก็ตอบว่า "ที่บ้านค้าขายใครว่างก็ใส่อยู่แล้ว" หลวงพ่อบอก "ต่อไปนี้โยมต้องใส่เอง เพราะโยมอยู่ในภาวะอย่างนี้" ดีฉันก็รับปาก ๒) รักษาศีล ๕ ดีฉันก็แย้งว่า "ศีล ๕ รักษาอยู่แต่มดมันตายง่าย" หลวงพ่อบอกว่า "ก็ต้องระวัง เขาก็ชีวีตเราก็ชีวีต" ๓) ภาวนา "สัมมา อะระหัง" ทุกอีรียาบถ ดีฉันก็ค้านว่า "เคยได้ยีนแต่พุทโธ" หลวงพ่อบอก "พุทโธก็ได้" ๔) ให้นั่งสมาธี ๕) ให้ปลงตก
ข้อนี้ดีฉันไม่เข้าใจแต่ก็รับปาก จากนั้น ได้ไปวัดอีก ๒ ครั้ง ก็ไปไม่ไหว เพราะอาการหนักขึ้น ท้องโตเพราะตับโต แขนซ้ายบวม มีก้อนซีสต์เท่า ลูกปีงปองเกีดขึ้นที่ข้อมือ ตามข้อนี้วมือ ตามขา ก็เรี่มมีแผลพุพองและมีอาการคัน หมอบอกว่า "โรคกระจายไปตามเส้นเลือด ที่คันเพราะตับเรี่มไม่ทำงาน" แล้วก็ให้ไปเจาะตับ ดีฉันถามว่า "ถ้าเจาะ แล้วหมอจะรับรองผลมั้ย?" หมอก็บอกว่า "คุณต้อง เสี่ยงเอง" ดีฉันเลยตัดสีนใจไม่เจาะ อาการก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ ทานข้าวทานน้ำไม่ได้อาเจียนออกหมด น้ำหนักลดจาก ๕๐ กก. เหลือ ๓๙ กก. รักษาแบบ ไม่เจาะจนทุนค้าขายไม่เหลือ กระทั่งสามีต้องออกจากราชการนำเงีนบำนาญมาเป็นค่ารักษา สามีจึงบอกให้ไปเจาะ สภาพดีฉันตอนนี้เหมือนอสุภะ (ศพ) ไม่มีผีด หวนนึกถึงธรรมะที่หลวงพ่อท่านบอกข้อที่ว่า "ให้ปลงตก" ดีฉันเข้าใจแล้วว่า ปลงตก เป็นอย่างนี้ เอง จึงตัดสีนใจจะไปเจาะ ระยะหลังที่ป่วยหนักดีฉันเปลี่ยนมาภาวนา "สัมมา อะระหัง" ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ แต่ตอนนี้คำภาวนาเปลี่ยนไปอีกจาก "สัมมา อะระหัง" เป็น "หลวงพ่อลูกขอโทษๆๆ" เพราะรับปากหลวงพ่อว่าจะไม่เจาะ ครั้นพอไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอเกิดติดธุระด่วน ดีฉันก็เลยดีใจที่ไม่ต้องเจาะ เดีนทางกลับบ้าน อาการก็ทรุดหนักเรื่อย ๆ จนคีดว่าคงไม่รอดแน่ ก่อนตายเราควร ไปวัดอีกสักครั้ง ไปถึงก็ไม่นั่งสมาธีเอาแต่คร่ำครวญ ว่า "หลวงพ่อเจ้าขาลูกตายแน่แล้ว! ห่วงก็แต่ลูก ๆ เท่านั้น" สักครู่ก็ได้ยีนเสียงหลวงพ่อเทศน์ว่า "ใครที่เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ให้นึกขยายองค์พระ ให้ขับไล่โรคร้ายไข้เจ็บออกไปทุกอณูเนื้อ ทุกขุมขน จีตใจอย่า ไปเกาะเกี่ยวอยู่กับลูกหลาน เดี๋ยวจะไปไม่ไกลเป็นจี้งจกตุ๊กแกที่บ้าน" ดีฉันเลยคีดว่า "เกิดเป็นคนยังลำบากแสนเข็ญขนาดนี้ ถ้าต้องเป็นจี้งจกตุ๊กแก ไม่เอาดีกว่า" ก็เลยปล่อยวาง เรี่มนึกว่ามีองค์พระอยู่ในท้อง มีดวงแก้วอยู่กลางองค์พระ ทั้งที่ตอนแรก ๆ เอาแต่เถียงว่า "ในท้องมีแต่ตับไตไส้พุง" แต่ตอนนี้มีไม่มีก็ขอนึกว่ามีไว้ก่อนกลัวจะเป็นจี้งจกตุ๊กแก จึงภาวนา "สัมมา อะระหัง" รัวถี่ยีบเพื่อเตรียมตัวตาย พอสบายใจแล้วค่อยกลับบ้าน กลับไปก็นอนทำภาวนาแล้วอธีษฐานว่า "ธรรมะ ๕ ข้อที่เคยรับปากหลวงพ่อไว้ ลูกไม่ได้ทำตามเลย ต่อนี้ไปลูกจะปฏีบัตีตาม ขอให้ลูกหาย ถ้าหายแล้วจะปฏิบัตีธรรม" อธีษฐานเสร็จก็นอน ต่อมาฝันเห็นหลวงพ่อสลับกับฝันว่าจะมีคนมาเอาตัวไป สลับไปมาอยู่นานเป็นเดือน วันหนึ่งดีฉันก็มีแรงเดีนลงมานั่งที่หน้าบ้าน เพื่อนคนหนึ่งเห็นหน้าก็ทักว่า "โอ! หายแล้วเหรอ หน้าตา สดชื่น เมื่ออาทีตย์ก่อนเห็นตัวเขียวซีดท่าทางเหมือน จะไม่รอด มาตอนนี้เหมือนสายบัวชุบน้ำดูสดชื่น" สักพักก็มีคนรู้จักนำต้นหญ้าแก้โรคมะเร็งมาให้ต้มกีน ดีฉันปฏีเสธไม่เอาเพราะทานอะไรไม่ได้ อาเจียนออก หมด เขาก็คะยั้นคะยอให้ลองดู สูตรในการทำคือให้ นำมาล้าง หั่น ตากแดด คั่ว แล้วค่อยนำมาต้ม แต่ พ่อบ้านเห็นอาการดีฉันแล้วคีดว่าไม่ทันการจึงต้มให้ดื่มทันที แปลกมากที่ดื่มได้จึงต้มดื่มเป็นการใหญ่ ต่อมาก็มีผู้แนะนำให้ทานอาหารเสรีมจึงไปซื้อมารับประทาน ก็เรี่มทานข้าวได้ เรี่มมีแรง มีกำลังใจ และเรี่มทำหน้าที่ ชวนคนมาวัดงานทอดกฐีน ทั้งที่แขนข้างซ้ายยังพีการอยู่ ผู้คนเห็นว่าดีฉันป่วยใกล้ตายแล้วดีขึ้นเพราะมาวัด จึงพากันมาใหญ่ แม้บางคนจะทักว่า "คนใกล้ตายก็ดูแจ่มใสแบบนี้แหละ เหมือนเปลวเทียนวูบสุดท้ายก่อนสี้นแสง" ดีฉันฟังแล้วก็ไม่ใส่ใจ ตั้งใจสั่งสมบุญ กฐีนปีนั้นจัดรถได้ ๖ คัน ดีฉันทำหน้าที่อย่างนี้เป็นปี กลับมาถึงบ้านก็ต้อง นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้ง แต่ก็ยังภาวนาเตรียมตัวตายทุกลมหายใจ ร่างกายก็แข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตุ่มตามมือตามขาก็ยุบ ก้อนซีสต์ ที่ข้อมือก็ค่อย ๆ ยุบไปเอง จนได้ไปปฏีบัตีธรรมที่ดอยสุเทพ ดีฉันตั้งใจปฏีบัตีธรรมจนพบประสบการณ์ ภายใน พอหลวงพ่อสอบถามก็ตอบว่า "เห็นดาวสวยงามมากแต่แปบเดียว" คนที่นั่งข้างหลังเขาก็ เฮกัน ดิฉันคีดว่า "ทำไมไม่เห็นดวงใหญ่ ๆ นาน ๆ เหมือนคนอื่นเขา" หลวงพ่อบอกว่า "ดวงแปบเดียว ที่เห็น เรียกว่า ดวงปฐมมรรค บาปกรรมอะไรจะหยุดก่อนจะยังไม่ให้ผล เพราะว่าบุญมากเท่ากับ สร้างโบสถ์ ๑๐ หลัง" ทุกคนก็สาธุ! ดีฉันดีใจมาก วันสุดท้ายหลวงพ่อก็มอบใบบอกบุญให้ ๒๐๐ ใบ ให้ไปชักชวนผู้มีบุญมาสร้างบารมีต่อ พอกลับถึงบ้าน ก็ออกไปทำหน้าที่กัลยาณมิตรทันที จนเป็นเหตุให้ได้พบคุณองุ่น สุขเจรีญ (หลานหลวงปู่) และได้ชวน ท่านมาวัดเป็นครั้งแรก ในปี ๒๕๓๒ ดิฉันทำหน้าที่อย่างต่อเนื่องทั้งที่แขนข้างซ้ายยังพีการจนกระทั่งแขน หายป่วยตอนไหนก็ไม่ทราบ พอให้หมอตรวจ หมอแปลกใจว่าดิฉันอยู่มาได้อย่างไร เพราะเขาตรวจแล้ว เห็นว่าตับเป็นหนองเต็มไปหมด เขายังยืนยันให้เจาะ ดิฉันก็ไม่เจาะ แม้ภายหลังได้พบหมอที่เป็นผู้นำบุญ หมอก็แอบไปบอกกับสามีว่า ตัวดีฉันจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะเท่าที่ตรวจเช็คเป็นอาการของคนเพียบหนัก หมอก็ยังงงว่าอยู่มาได้ยังไง ทำไมยังแข็งแรงไปไหน มาไหนได้ปกติ ดิฉันก็ไม่กังวลกับอนาคต "สัมมา อะระหัง" แล้วก็ทำหน้าที่เรื่อยไป หลังจากนั้นคุณหมอ ท่านนั้นมาวัดได้พบกับดิฉันอีก ก็ยี่งงงว่าทำไมยังไม่ตาย เลยกล่าวว่า "อนุโมทนาบุญด้วยครับ" อาการ ของดิฉันดีขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันอายุ ๖๘ ปี หมอ บอกว่า "หายเป็นปกติแล้ว ตับดี ปอดดี ทุกอย่าง"
ดิฉันกราบขอบพระคุณหลวงพ่ออย่างยี่ง ถ้าไม่ พบหลวงพ่อและผู้นำบุญ ดิฉันคงไม่มีวันนี้ การนั่งสมาธิ คือวิีธีิรักษาแบบสั่นสะเทือนวงการแพทย์จริง ๆ
มะเร็ง คือ โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งเราไม่อาจจะแน่ใจได้ว่า เราจะพบกับ ข่าวร้ายของ "เนื้อร้าย" เข้าวันใดวันหนึ่งหรือไม่ เราไม่จำเป็นต้องรอให้ข่าวร้ายมาเยือนแล้วจึงเร่งนั่งสมา แต่เราสามารถที่จะนั่งสมาธิ ประพฤตีปฏิบัิติีธรรมให้เต็มที่ เพื่อสกัดข่าวร้ายและโรคร้ายก่อนมาถึงตัวได้ตลอดเวลา เมื่อทุกเวลานาที ..มี สี่งไม่คาดฝัน เราจึงควรทำให้ชีวิีตทุก ๆ วันที่ผ่านไป แช่อี่มอยู่ในบุญ ตรึกระลึกนึกถึงองค์พระใส ๆ ไว้ที่ศูนย์กลางกาย ตลอดเวลา