สมาธิเปลี่ยนชีวิต
เรื่อง : Son Backhome   e-mail : [email protected]

       ถ้อยคำประโยคข้างต้น พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) หลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ท่านได้ กล่าวไว้ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙๗ และคำสอนดังกล่าวยังคงเป็นถ้อยคำอมตะได้รับการพิสูจน์มาทุกยุคสมัยจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ดังตัวอย่าง เรื่องราวของคุณยูกะ ไซออนจิ หญิงสาวจากแดนอาทิตย์อุทัย ผู้มีโอกาสได้มาฝึกนั่งสมาธิในโครงการ The Middle Way ภาคภาษาญี่ปุ่น ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก ณ วัดฝอกวงซาน ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๑ ที่ผ่านมา

        คุณยูกะ ไซออนจิ ได้เปิดใจถึงการปฏิบัติธรรมครั้งนี้ให้ฟังว่า "การนั่งสมาธิครั้งนี้ ดิฉันนึกถึงดวงตะวันที่กลางท้อง เพราะจำได้อย่างแม่นยำในคำพูดของหลวงพ่อที่เมตตาแนะนำการนั่งสมาธิให้ (ในช่วงที่หลวงพ่อเมตตานำกิจกรรม SOPP : Symphony of Peace Prayer ออกอากาศทางช่อง DMC) โดยให้นึกถึงพระอาทิตย์ที่กลางท้อง จะเป็น ช่วงพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก หรือตอนไหนก็ได้ ที่นึกแล้วสบายใจมีความสุข เมื่อได้ฟังคำแนะนำของหลวงพ่อเช่นนั้น ดิฉันรู้สึกแปลกใจมากว่า หลวงพ่อ ท่านทราบได้อย่างไรว่า ดิฉันชอบมองดวงตะวัน มานานแล้ว ซึ่งถ้าท่านให้นึกถึงดวงแก้ว ดิฉันก็คงไม่รู้สึก ประหลาดใจมากมายขนาดนี้ ทำให้นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ดิฉันก็ไม่ลืมที่จะนึกถึงดวงตะวันที่กลางกายมาโดยตลอด"

            สำหรับการมาปฏิบัติธรรมในครั้งนี้ มีความมหัศจรรย์ภายในเกิดขึ้นมากมาย เธอเล่าว่า "มีอยู่รอบหนึ่งหลังจากที่นั่งสมาธิ แล้วนึกถึงดวงตะวันอยู่เพลินๆ ดิฉันก็เห็นลูกปิงปองเด้งขึ้นลงอยู่ที่กลางท้อง ภาพนั้นชัดเจนมาก ซึ่งตอนนั้นความรู้สึก ของดิฉันกลับบอกว่า ไม่อยากนึกถึงดวงตะวันแล้ว ดิฉันจึงไม่นึกถึงอะไรและปล่อยใจสบายๆ ที่ศูนย์กลางกาย ในรอบต่อมา หลังจากที่ทำใจหยุดนิ่งเฉยๆ โดยไม่ได้ นึกถึงอะไรเลย ดิฉันก็เห็นพระพุทธเจ้าองค์เล็กๆ ปรากฏขึ้นเองที่กลางท้อง มีแสงสว่างออกมาจากองค์พระด้วย เป็นความรู้สึกที่สงบสุข ลืมเรื่องเวลาไปเลย เหมือนไม่มีเวลาในโลก ดิฉันจำความรู้สึกนั้น ได้อย่างชัดเจน ภาพยังชัดติดตาอยู่จนถึงทุกวันนี้ ที่มหัศจรรย์ก็คือ ดิฉันสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่า สิ่งที่เห็นนั้น คือพระพุทธเจ้า เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น มาก เมื่อเราหยุดใจรวมเป็นหนึ่งได้ เราจะเข้าถึงความ มหัศจรรย์ของสมาธิ ซึ่งมีความสุขเกินที่จะบรรยาย

            ดิฉันคิดว่าการนั่งสมาธิแท้จริงแล้วก็คือ วิธีการ ที่ทำให้ตัวเองได้พบกับแสงสว่างภายในตัวเอง ที่ดิฉันไม่เคย สัมผัสมาก่อนในอดีต เป็นช่วงเวลาที่วิเศษ และมีคุณค่าอย่างแท้จริง ประสบการณ์จากสมาธิทำให้ดิฉันเชื่อว่า ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ ก็คือ องค์พระ แต่เพราะการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันที่ต้องแวดล้อมไปด้วยข้อมูลข่าวสาร และเรื่องราวสารพัด ทำให้เราถูกปิดบังจากตัวตนที่แท้จริง ของเราไป เปรียบเสมือนกับดวงตะวันที่ถูกหมู่เมฆปกคลุม ทำให้เราไม่เห็นถึงการดำรงอยู่ของดวงตะวัน แต่สมาธินั้นเป็นวิธีการที่ช่วยให้เราหันกลับมามองตัวเอง กลับมาหาดวงตะวันภายใน ในขณะเดียวกัน ก็ตระหนักได้ถึงการดำรงอยู่ของหมู่เมฆภายในที่คอยรุมเร้า หากเพียงแค่เราค่อยๆ ขจัดหมู่เมฆ หรือ ข้อมูลที่ไม่ต้องการทิ้งออกไปจากใจ เราก็จะสามารถ พบกับตัวตนที่แท้จริงภายในที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่อาจจะเรียกได้ว่า เป็นพระเจ้าในตัวคุณ

          ดิฉันอยากบอกทุกคนทั่วโลกว่า สมาธิเป็นสิ่งที่ไม่น่ากลัวเลย แต่กลับเป็นสิ่งน่าเรียนรู้ ถ้าคุณเปิดใจ กว้างให้กับตัวเอง ในการเรียนรู้เส้นทางท่องเที่ยวภายในตัวเรา คุณจะได้เรียนรู้ถึงความพิเศษของตัวเอง โดยการค้นพบตัวตนภายใน ค้นหาความหมาย หรือคุณค่าของการดำรงชีวิต เราไม่ควรปิดกั้นตัวเอง จากสมาธิซึ่งจะนำทางให้เรา ได้รู้จักกับสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เราควรนึกถึงประโยชน์มากมายมหาศาลที่ ตัวเราเองจะได้รับ แล้วชักชวนตัวเอง และคนรอบข้าง ให้เข้ามาร่วมปฏิบัติธรรมค่ะ"

            ผู้รู้ทั้งหลายต่างก็ทราบกันว่า สมาธิเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด ทำให้บุคคลธรรมดากลายเป็นบุคคลที่มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ ปฏิบัติสมาธิถูกต้องตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทำใจให้หยุดนิ่งในเส้นทางสายกลาง ย่อมเป็นทางมา แห่งบุญอย่างมหาศาล ดังคำของพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ที่ได้กล่าวไว้ว่า "นั่งภาวนาทำใจให้หยุด ให้หยุดสักกระพริบตาเดียวเท่านั้น ที่สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญสู้ไม่ได้หรอก ...ให้เราแสวงหาเขตบุญ ในพระพุทธศาสนา ให้มั่นเชียวนะ ให้ใจหยุดเป็นตัวสำคัญ หยุดนี้เป็นทางมรรคผลนิพพาน พวกให้ทานรักษาศีล ยังไกลกว่า หยุดนี้ใกล้นิพพานนัก"