ทานอันบุคคลให้แล้วในบุญเขตใด เป็นทานมีผลมาก บุคคล พึงเลือกให้ทานในบุญเขตนั้น... พืชแม้เล็กน้อยที่บุคคลหว่านลงในนาดี เมื่อฝนหลั่งสายน้ำถูกต้องตามกาล ผลก็ย่อมยังชาวนาให้ยินดีได้ ฉันใด เมื่อสักการะแม้เล็กน้อย ที่ทายกถวายในเหล่าท่าน ผู้มีศีล ผู้มีคุณ ผู้คงที่ ผลก็ย่อมยังทายกให้ยินดีได้ ฉันนั้น " (ขุ.ธ)
|
|
---|
ผืนดินที่มีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เป็นที่ลุ่ม มีฝนฟ้าตกถูกต้องตามฤดูกาล เป็นสิ่งที่ชาวนาต้องการ เพราะจะทำให้การไถหว่านได้ผลเต็มเม็ด เต็มหน่วย ในทำนองเดียวกัน การสร้างบุญให้ถูกเนื้อนาบุญเป็นสิ่งที่บัณฑิตปรารถนา เพราะการหว่านไทยทานลงในเนื้อนาบุญ จะเป็นทางมาแห่งมหากุศลอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ จะส่งผลให้ได้มหาสมบัติใหญ่ทั้งมนุษย์สมบัติ ทิพย์สมบัติ และนิพพานสมบัติ การทำทานแต่ละครั้ง หากมีโอกาสให้เลือกว่า ทำบุญกับใคร และต้องทำอย่างไรถึงจะได้บุญมาก ก็ต้องฉลาดในการเลือก เหมือนการลงทุนที่ได้กำไร มากเพราะฉลาดในการลงทุน ในทักขิณาวิภังคสูตรได้กล่าวเอาไว้ว่า "บุคคลให้ทานในสัตว์เดรัจฉานได้อานิสงส์ ๑๐๐ ชาติ ให้ทานในผู้ทุศีลพึงหวังผล ๑ พันชาติ ให้ทานในปุถุชนผู้มีศีล พึงหวังผล ๑ แสนชาติ ให้ทานในบุคคลผู้ปราศจาก ความกำหนัดในกามพึงหวังผลแสนโกฏิเท่า ให้ทาน ในท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง พึงหวังผลจนนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้"
มหาทานของอังกุระ
มีเรื่องเล่าว่า ในอดีตมีพ่อค้าคนหนึ่งชื่อ อังกุระ เดิมเคยเป็นพระโอรสองค์สุดท้องในทวารกะนคร แต่เนื่องจากไม่ปรารถนาจะครองราชย์ จึงเดินทางไป ต่างแดน เพื่อทำมาค้าขายและท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง ในระหว่างเดินทางข้ามทะเลทรายอยู่นั้น เขา เกิดพลัดหลงทางอยู่เป็นเวลาหลายวัน ได้อาศัย รุกขเทวาซึ่งมีนิ้วมือสำเร็จด้วยฤทธิ์ เมื่อพ่อค้า ปรารถนาอะไร สิ่งนั้นก็ไหลออกมาจากนิ้วมือของเทพตนนั้น พ่อค้าถามรุกขเทวดาว่า "ทำบุญอะไรเอาไว้ ถึงมีอานุภาพมากเพียงนี้"
เมื่อทราบว่า เทวดาท่านนี้ได้ทำบุญเพียงแค่ ชี้นิ้วบอกเส้นทางไปบ้านของเศรษฐีผู้ใจบุญให้กับ คนเดินทาง และพวกยาจกวณิพกพเนจรเท่านั้น ยังเกิดผลใหญ่ถึงเพียงนี้ นี่ถ้าได้ให้ทานด้วยตนเองบ้าง ผลบุญคงจะบังเกิดขึ้นมากกว่านี้ เมื่อได้รับ แรงบันดาลใจเช่นนั้น ก็รีบออกเดินทางกลับไปยังพระนคร ได้เริ่มขนทรัพย์มรดกที่มีอยู่ทั้งหมดออกให้ทาน อังกุระให้ป่าวร้องว่า "ใครหิวก็เชิญมากินตามชอบใจ ใครกระหายก็จงมาดื่มตามชอบใจ" แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ท่านเกิดในยุคสมัย ที่ไม่มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ไม่มีเนื้อนาบุญแม้เพียงท่านเดียว แต่ท่าน ก็อุทิศตนให้กับการทำทานอย่างเต็มกำลัง อังกุระได้ให้อาหารแก่ชาวเมืองวันละ ๖๐,๐๐๐ เล่มเกวียนเป็นประจำ มีพ่อครัว ๓,๐๐๐ คน เด็กหนุ่ม ๖๐,๐๐๐ คน ต่างก็ประดับต่างหูอันวิจิตรไปด้วยเพชรนิลจินดา ช่วยกันผ่าฟืนสำหรับหุงอาหาร ทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ พวกหญิงสาว ๑๖,๐๐๐ คน ช่วยกันบดเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหาร แล้วยังมีหญิงสาวอีก ๑๖,๐๐๐ คน แต่งตัวสวยงามราว กับนางฟ้ายืนถือทัพพีคอยตักอาหาร ให้คนที่มาขอด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ฝ่ายอังกุระได้มายืนมอบสิ่งของต่างๆ ด้วยมือของตนเอง ทำไปก็ปีติเบิกบาน แทนที่จะให้คนที่มาขอทานนั้นขอบคุณตนเอง แต่กลับรู้สึกขอบอกขอบใจต่อเขาเหล่านั้น ที่อุตสาห์เดินทางมารับทานจากท่าน และเมื่อละโลกไปแล้ว ท่านก็ได้ไปบังเกิด ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติอยู่เป็นเวลานานทีเดียว
บางครั้งแม้เรามีกุศลศรัทธาออยากจะให้ทาน ทรัพย์ก็พร้อม ศรัทธาก็ต็มเปี่ยม แต่ถ้าไม่มีทักขิไณยบุคคล ผลบุญที่เกิดขึ้น ก็เหมือนหว่านพืชในนาดอน ผลที่เกิดขึ้น ได้ผลไม่เต็มที่สมกับที่ได้ทุ่มเทลงไป
ทานของลุงอินทร์ Less is more
มาในยุคสมัยพุทธกาลของเรา มีพราหมณ์ ผู้ยากไร้คนหนึ่งชื่อ อินทกะ เป็นคนมีศรัทธาแต่ไม่มีทรัพย์ วันหนึ่งเขาได้เห็นพระอนุรุทธะบิณฑบาตผ่าน หน้าบ้าน ด้วยจิตที่เลื่อมใสจึงได้ถวายข้าวทัพพีหนึ่ง ด้วยบุญนั้น เมื่อละสังขารไปแล้วได้ไปบังเกิดเป็นอินทกเทพบุตรผู้มีรัศมีกายที่รุ่งเรืองสว่างไสวยิ่งกว่าอังกุรเทพบุตรนั้นอีก
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปประทับอยู่ ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เทวดาทั่วทั้งหมื่นโลกธาตุ พากันมานั่งประชุมเพื่อฟังธรรม ไม่มีเทพตนไหนที่จะมีรัศมีกายสว่างกว่า พระพุทธเจ้าเลย พุทธรัศมีนั้นสว่างไสวรุ่งโรจน์กว่ารัศมีใดๆ ของเทวดาทั้งหลาย เทวดาที่มีศักดิ์ใหญ่ มีบุญมาก ก็จะได้นั่งอยู่แถวหน้า ส่วนผู้ที่บุญน้อยกว่าก็จะถอยร่นออกไปเรื่อยๆ
สมัยนั้น อังกุรเทพบุตรซึ่งเคยนั่งอยู่ด้านหน้า ก็ถอยร่นไปตามกำลังบุญ นั่งอยู่ไกลถึง ๑๒ โยชน์ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งอยู่ที่เดิมใกล้กับพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามอังกุระว่า "อังกุระ เธอทำแถวเตาไฟยาว ๑๒ โยชน์ ให้ทานนานถึง ๑๐,๐๐๐ ปี บัดนี้เธอนั่งอยู่ไกลตั้ง ๑๒ โยชน์ซึ่งไกลกว่าเทพบุตร ทั้งหมด ไฉนเธอจึงนั่งอยู่ไกลนัก"
ความต่างแห่งเนื้อนาบุญ
อังกุรเทพบุตรกราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มี พระภาคเจ้า ข้าพระองค์ได้บริจาคทานมากในสมัยที่เป็นมนุษย์ แต่เป็นทานที่ให้แก่มหาชนทั่วไป คือให้ทานในเวลาที่ปราศจากทักขิไณยบุคคล ส่วน อินทกเทพบุตรแม้ถวายทาน เพียงข้าวทัพพีเดียว แต่เพราะทำถูกทักขิไณยบุคคล จึงรุ่งเรืองกว่าข้าพเจ้า เหมือนดวงจันทร์รุ่งเรืองกว่าหมู่ดาวฉะนั้น"
เราจะเห็นได้ว่า บางครั้งแม้เรามีกุศลศรัทธาอยากจะให้ทาน ทรัพย์ก็พร้อม ศรัทธาก็เต็มเปี่ยม แต่ถ้าไม่มีทักขิไณยบุคคล ผลบุญที่เกิดขึ้นก็เหมือนหว่านพืชลงในนาดอน ผลที่เกิดขึ้นได้ผลไม่เต็มที่สมกับที่ได้ทุ่มเทลงไป ดังนั้น การที่ได้มีโอกาสถวายทานกับทักขิไณยบุคคลนับเป็นมหากุศลที่ ยิ่งใหญ่ บุญที่เกิดขึ้นจะไปปรับปรุงกาย วาจา ใจของเราให้มีความบริสุทธิ์ผ่องใส ทำให้ถึงพร้อมด้วยสมบัติทั้ง ๓ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ
๒๒ เมษา วันมหามงคล
ทุกท่านที่มาร่วมงานมหามงคลในครั้งนี้ จะได้สร้างมหาทานบารมี ด้วยการถวายมหาสังฆทาน แด่พระสงฆ์ผู้อุดมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา ที่เดินทางมาจาก ๒๐,๐๐๐ กว่าวัด เกือบแสนรูปทั้งภายในและต่างประเทศทั่วโลก เราจะได้ทัศนาด้วยตาเนื้อ การได้ถวายสังฆทานก็ดี การได้เห็นสมณะก็ดี ได้หล่อพระธรรมกายประจำตัวก็ดี ได้ชำระกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ก็ดี นับเป็นการสร้างมหามงคลให้กับตัวเราและแก่ชาวโลกอีกด้วย
ท่านผู้มีบุญทั้งหลาย... ขอให้ปลื้มปีติใจเถิดว่า เราคือ ผู้มีโชคที่สุดในมงคลจักรวาล เพราะเราจะได้สร้างมหาทานบารมีที่ไม่ใช่จะบังเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ให้มั่นใจเถิดว่า... ผู้ให้ ไม่มีคำว่าอดอยากยากจน คนตระหนี่ที่ไม่ให้ทานต่างหาก ที่ยังต้องยากจนอยู่ มีแต่คนตระหนี่เท่านั้น ที่กลัวทรัพย์จะหมดเปลืองไป จึงไม่กล้าที่จะให้เพราะความกลัวจน เสียดายทรัพย์ จึงไม่ให้แก่ผู้ใด เมื่อไม่ให้ก็ยิ่งจน เพราะกิเลส คือ ความโลภ และความตระหนี่มาปิดกั้นสายสมบัติ เอาวิบัติมาตัดรอน ช่วงชิงเอาสมบัติไป
มหาสังฆทานในครั้งนี้ ถือเป็นมหาทานบารมีที่จะส่งผลยาวไกล ถึงที่สุดแห่งธรรม..เพราะฉะนั้น เมื่อโอกาสแห่งการสร้างมหาทานบารมีมาถึงแล้ว ควร เตรียมกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ เพื่อจะได้เป็นทายก ผู้ได้ชื่อว่า ฉลาดในการสั่งสมบุญ จึงขอเชิญทุกท่าน ได้ชักชวนหมู่ญาติมาร่วมเป็นบุคคลต้นแบบ และบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ ในการสร้างสันติภาพโลก เนื่องในวันคุ้มครองโลกโดยพร้อมเพรียงกัน..
"นรชนผู้ไม่ตระหนี่ ให้ทาน ย่อมเป็นที่รักของมหาชน นรชนนั้นย่อมได้เกียรติ มียศเจริญ เป็นผู้ไม่เก้อเขิน แกล้วกล้าเมื่อเข้าสู่ที่ประชุมชน เพราะเหตุนั้น บัณทิตผู้หวังสุข พึงขจัดมลทิน คือ ความตระหนี่ แล้วให้ทาน บัณฑิตเหล่านั้น ย่อมได้รับการอัญเชิญไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดา ร่าเริงอยู่ตลอดกาลนาน"..