สมมติว่าคุณเป็นผู้หญิง คุณกำลังตั้งครรภ์ และจะเป็นแม่ของลูกในไม่ช้านี้ เมื่อไป โรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ หลังการตรวจเลือด คุณหมอเรียกเข้าไปพบ และแจ้งผล การตรวจด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า "คุณครับ เลือดของคุณมีเชื้อดาวน์ซินโดรม หากลูกที่อยู่ในครรภ์คลอดออกมา มีสิทธิ์ที่จะเป็นเด็กมีปัญหาหรือ ไม่สมประกอบได้ คุณคงต้องตัดสินใจแล้วล่ะครับว่า จะเอาเค้าไว้หรือเปล่า"
บางสถานการณ์ชีวิตไม่ได้มีทางไว้ให้เราเลือกมากนัก แต่ผลลัพธ์ที่เกิดจากทางที่เลือกแล้วนั้น อาจจะดีหรือร้ายมากมาย เกินกว่าที่จะอ้าแขนรับ ถ้าคุณเลือกที่จะตอบว่า "เอาไว้ค่ะ" นั่นหมายถึงชีวิต น้อยๆ ที่อยู่ในครรภ์จะได้มีโอกาสลืมตามาดูโลก แต่ร่างกายเขาจะปกติไหม มีอวัยวะครบ ๓๒ ประการหรือเปล่า แล้วสติปัญญาความสามารถ ของเขาล่ะจะเป็นอย่างไร เราจะดูแลเขาได้อย่างไรบ้าง ให้ตายสิ..แค่คิดก็แทบลมจับ และคุณอาจต้องลองคลำหัวใจตัวเองดู ว่ายังเต้นปกติอยู่หรือไม่ แต่ช่างเถอะอย่างไรมันก็เป็นแค่เรื่องสมมติ เราอาจตัดบทพร้อมกับตัดปัญหาไปได้ง่ายๆ โดยไม่รู้สึกอะไรเพราะไม่ได้เกิดขึ้นจริงอยู่แล้ว
แต่สำหรับใครบางคนสิ..เธออาจจะไม่มีสิทธิ์ได้เพียงแค่สมมติเท่านั้น
ในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ คุณจิตรา ธรรมสุวรรณ์ เธอกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่ ๔ หลังการพบแพทย์และตรวจเลือด เธอก็ได้รับรายงานจากแพทย์ ดังประโยคที่ได้สมมติขึ้นมาข้างต้น หลังสิ้นสุดคำถาม เธอตัดสินใจในทันทีว่า นี่ไม่ใช่เรื่องของทางเลือก แต่เป็นเรื่องของหัวใจ และเป็นภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ความเป็นแม่พึงกระทำ อย่างไรก็จะต้อง ให้เขาเกิด ถึงแม้ถ้าเกิดมาพิการ เป็นบ้าใบ้ก็ต้องยอมรับ เพราะเขาคือลูก และเราคือแม่ ๘ เดือนผ่านไป เธอเจ็บท้องเหมือนจะใกล้คลอด เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ลูกก็คลอดออกมาจริงๆ เป็นการคลอดก่อนกำหนด และเดชะบุญเธอได้ลูกชาย หลังจากได้สำรวจลูกน้อยอย่างถี่ถ้วน เขามีอวัยวะครบ ๓๒ ประการ ในตอนนั้นเหมือนโลกทั้งใบแจ่มใส อากาศนอกหน้าต่างดีเป็นพิเศษ ลูกไม่พิการดังที่เคยวิตกกังวล เธอตั้งชื่อลูกชายคนนี้ว่า "บรูซ" แต่ทว่าช่างน่าแปลก ที่ชีวิตคนเราบางคราวก็เปลี่ยนแปลงไว คล้ายๆ บรรยากาศของโลก และเหมือนตอกย้ำถ้อยคำของใครบางคนที่ว่า "รอยยิ้มก็เหมือนดอกไม้บางชนิด ที่ไม่อาจเบ่งบานได้ในทุกๆ ฤดูกาล" เพราะหลังจากที่เธอยิ้มได้ไม่นาน สัญญาณแห่ง พายุฝนก็เริ่มกรรโชกเคลื่อนใกล้เข้ามา
"ตอนนั้นก็เริ่มสังเกตเห็นว่า บรูซไม่ร้องไห้ หิวก็ไม่ร้อง เจ็บก็ไม่ร้อง ผิดปกติของเด็กทั่วไปที่พอหิวจะต้องร้อง พอโตมาหน่อย บรูซไม่ยอมพูด ไม่รับฟังอะไรเลย ก็เริ่มกังวลแล้วว่า เขาเป็นอะไร จนถึงอายุขวบกว่าๆ จึงพาไปหาหมอ หมอตรวจและบอกว่าเขาเป็นออทิสติก"
ขณะนี้ฝันร้ายที่เคยกลัวมาตลอด และภาวนา ว่าจะไม่เกิดจริงๆ ในชีวิต ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เธอไม่ เคยท้อถอยหรือปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามโชคชะตา และหมอก็ได้พยายามช่วยเหลือลูกชายของเธออย่าง เต็มที่ โดยการสอนภาษามือให้กับบรูซ เพราะเขาฟังไม่รู้เรื่อง จนกระทั่งบรูซอายุได้ ๔ ขวบ จึงเริ่มไปโรงเรียนพิเศษ ซึ่งมีครูพิเศษสอนโดยเฉพาะ และพอบรูซเดินได้ ก็เริ่มไม่อยู่นิ่ง เริ่มวิ่งตลอดเวลา ชอบกระโดด ส่งเสียงดัง วิ่งเอาหัว เอาตัวชนกำแพง แม้กระทั่งเวลาป้อนข้าวป้อนน้ำ บรูซก็ยังกระโดด กินไป วิ่งไปตลอดเวลา
"ตอนนั้นกลุ้มใจจนไม่รู้จะกลุ้มยังไงแล้ว เพราะ เขาวิ่งและกระโดดไม่หยุด และที่กังวลมากที่สุด ก็ตอนที่เขาเอาหัวโขกกำแพง เห็นแล้วมันปวดเข้าไป ถึงใจ พอปี ๒๕๔๘ ก็มีวัดไทยชื่อวัดเจริญภาวนา แมนเชสเตอร์เกิดขึ้นที่นี่ จึงได้เริ่มพาบรูซไปวัด เพราะคิดว่า อยากให้เขาได้บุญด้วย แต่พอไปวัดครั้งแรก บรูซก็วิ่งทั่ววัดเลย ไม่เคยจะอยู่นิ่ง จนรู้สึก เกรงใจสาธุชนคนอื่นๆ กลัวไปรบกวนสมาธิ ก็เลยไม่อยากพามาวัดเท่าไร แต่พระอาจารย์ท่านก็เมตตา มากๆ ท่านบอกว่า "พาบรูซมาวัดบ่อยๆ สิ อาการ จะได้ดีขึ้น ผ่อนหนักให้เป็นเบา" จึงกล้าพาเขามาวัดบ่อยขึ้น มาเกือบทุกวัน ยิ่งช่วงปิดเทอม ก็พามา ค้างที่วัดเลย"
และหลังจากที่พาบรูซมาวัดมากขึ้น เขาก็กระโดดน้อยลง และสามารถพูดได้มากขึ้น เธอรู้สึก เหมือนกับว่า คืนค่ำแห่งฝันร้ายกำลังผ่านพ้นไปแล้ว และรุ่งเช้าอันแจ่มใสกำลังจะเยี่ยมเยือนเข้ามา เธอมี กำลังใจมากขึ้น พร้อมๆ กับสอนให้บรูซกราบพระและสวดมนต์อย่างต่อเนื่อง
"พอกราบพระได้ประมาณ ๒ เดือน บรูซกลายเป็นเด็กที่ความจำเป็นเยี่ยม พวกเราสวดมนต์ ทำวัตรเย็นทุกวัน และบรูซสามารถที่จะจำและสวด ได้ทั้งหมดอย่างอัศจรรย์ ความจำเขาเยี่ยมมาก แต่ บรูซยังนั่งสมาธิไม่ได้ เพราะไม่ยอมอยู่เฉยๆ
จนกระทั่งต้นเดือนมีนาคม ๒๕๔๙ บรูซอายุ ๖ ขวบ วันนั้นมีพิธีถ่ายทอดสดงานบุญจากเมืองไทย พอดีฉันต้องไปทำงาน จึงฝากบรูซเอาไว้ที่วัด แปลก ที่วันนั้นบรูซยอมนั่งสมาธิอย่างโดยดีิ แถมนั่งนิ่งจนทุกคนแปลกใจ ปกติพอถึงเวลานั่งสมาธิ ทุกคนจะได้ยินเสียงบรูซวิ่งชนกำแพงหรือกระโดดไปมา แต่ว่าวันนี้บรูซนั่งสมาธินิ่งไป ๔๕ นาที พอเลิกนั่ง พระอาจารย์ก็ถามว่า "บรูซเป็นยังไงบ้าง ทำไมนั่งนิ่ง เลย" ท่าทีของบรูซยังคงสงบนิ่ง ก่อนจะพูดถึงสิ่งที่เขาเห็นอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า "ผมนั่งหลับตาไป แล้วก็มีลูกแก้วอยู่ในท้องผม เป็นลูกกลมๆ ขาวๆ แล้วก็มีองค์พระอยู่ในลูกแก้ว เป็นองค์พระสีฟ้าๆ ผม รู้สึกดีมากๆ" ทุกคนที่ได้ยินก็รู้สึกทึ่งมากๆ เพราะบรูซไม่เคยนั่งสมาธิมาก่อนเลย เอาแต่วิ่งไปมา แต่พอได้นั่ง เขากลับเห็นและพูดอธิบายออกมาได้อย่าง ชัดถ้อยชัดคำ "ผมมีความสุขดี ที่ได้เห็นดวงแก้วกับองค์พระ และมีองค์พระอยู่ในดวงแก้ว" ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ยิน"
หลังจากวันที่บรูซได้บอกว่า "ผมเห็นดวงแก้ว กับองค์พระ" เขาก็เปลี่ยนแปลงไป เด็กชายบรูซไม่พูดเสียงดังใส่แม่ เขากลายเป็นเด็กเรียบร้อย จะสวดมนต์ กราบพระ และกราบแม่ก่อนนอนด้วย ตัวเองทุกคืน เวลาไปวัด พอถึงเวลาสวดมนต์ บรูซจะทำหน้าที่ไปตามคนโน้นคนนี้ รวมถึงไปเคาะประตูกุฏิพระอาจารย์ แล้วบอกว่า "ถึงเวลาสวดมนต์ แล้วครับ" รวมทั้งบรูซยังเป็นคนจัดอาสนะ หยิบ หนังสือสวดมนต์ กับผ้ามาวางเตรียมไว้ให้คนอื่นๆด้วย
"ครั้งแรกที่เห็นบรูซเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดนี้ ฉันแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง บรูซที่ไม่เคยอยู่นิ่ง ชอบวิ่งตลอดเวลา จากเด็กที่มีแต่ปัญหา แต่อยู่ๆ เขาสามารถนั่งสมาธิ จนเห็นดวงแก้วและองค์พระ ในตัวได้ ในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน สมาธิสามารถเปลี่ยนแปลงเขาไปได้ขนาดนี้ เคยถามย้ำกับบรูซว่า ลูกเห็นอย่างไร เขาบอกเหมือนที่บอกคนอื่นๆ ตอนที่ พระอาจารย์ให้บรูซวาดรูปตามสิ่งที่เห็นในสมาธิ คือ ดวงแก้วและองค์พระ ว่ามีลักษณะแบบไหน บรูซก็สามารถวาดรูปนั้นออกมาได้ มีดวงแก้วอยู่รอบนอก และองค์พระอยู่ในดวงแก้ว"
วันนี้ คุณแม่จิตราของน้องบรูซกำลังมีความสุข กับการที่ลูกชายคนเล็กสามารถพัฒนาตัวเอง ให้เหมือนเด็กปกติทั่วไปได้ เพียงแค่ให้ลูกชายได้นั่งสมาธิเท่านั้น
เราไม่รู้หรอกว่า วันพรุ่งนี้จะมีเรื่องราวใดๆเกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง จะดีหรือร้ายอย่างไร แต่สิ่งที่เรามั่นใจได้เสมอ ก็คือ ตราบที่ก้อนกายนี้ยังมีดวงจิต และจิตดวงนี้ได้รับการฝึกฝนให้นิ่ง สะอาด สงบ สว่าง ในศูนย์กลางกาย พลังของจิตย่อมสามารถเปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ และพระพุทธพจน์ที่ว่า "จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้" คงมิได้ตรัสไว้เพื่อให้อ่านผ่านๆ เท่านั้น...