อานิสงส์แห่งบุญ
เรื่อง : พระมหาเสถียร สุวณฺณฐิโต ป.ธ.๙ / พระมหาวิริยะ ธมฺมสารี ป.ธ.๙
ภาพประกอบ : กองพุทธศิลป์
อานิสงส์บุญถวายสังฆทาน
“พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การถวายสังฆทานมีผลมาก
หากพี่กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง จะหมั่นถวายทานมุ่งตรงต่อหมู่สงฆ์
และจะไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตเลย”
สังฆทาน มิได้หมายถึง การถวายถังเหลืองที่บรรจุสิ่งของจตุปัจจัยแด่พระสงฆ์ตามมโนภาพในใจคนทั่วไป แต่ สังฆทาน คือ ทานที่มุ่งเจาะจงไปในหมู่สงฆ์โดยไม่เลือกถวายจำเพาะรูปใดรูปหนึ่ง ถวายให้เป็นสิทธิ์กลาง
แด่คณะสงฆ์ เพื่อคณะสงฆ์จะจัดสรรแบ่งปันต่อไป การถวายสังฆทานแม้ถวายพระภิกษุเพียงรูปเดียว แต่ถ้าท่านมารับถวายในนามตัวแทนสงฆ์ก็จัดว่าเป็นสังฆทานเช่นกัน
สังฆทาน...เป็นทานที่ขยายใจให้กว้างไปในความเป็นหมู่คณะ คือ เพื่อให้เป็นประโยชน์แด่สงฆ์โดยส่วนรวม ไม่เหมือนปาฏิบุคลิกทาน ซึ่งเป็นทานที่เลือกถวายเจาะจงแด่พระที่คุ้นเคยหรือที่ตนศรัทธาเท่านั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญสังฆทานว่ามีผลมากกว่าปาฏิบุคลิกทานดังนี้ “เราไม่กล่าวว่า ปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าสังฆทานด้วยปริยายอะไร ๆ เลย สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พระสงฆ์นั่นแลเป็นประมุขของผู้บูชา และเป็นเนื้อนาบุญของชาวโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า”
ต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบผลานิสงส์ของสังฆทานกับปาฏิบุคลิกทาน
สมัยหนึ่ง มีธิดาสองพี่น้องชื่อภัททาและสุภัททาแห่งบ้านนาลกคาม บิดาของพวกเธอเป็นอุปัฏฐากพระเรวตเถระ ต่อมา นางภัททาผู้เป็นพี่สาวได้แต่งงานไป แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นหมัน จึงขอให้สามีพาน้องสาวของตน คือนางสุภัททามาเป็นภรรยาร่วมด้วยอีกคน เมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้ว พี่สาวยังได้สอนน้องด้วยความปรารถนาดีว่า “เธอต้องยินดีในการให้ทาน ไม่ประมาทในการประพฤติธรรม แล้วประโยชน์ในปัจจุบันและในภพหน้าจะได้บังเกิดขึ้นแก่เธอ” นางสุภัททาผู้เป็นน้องสาวก็ทำตามโอวาทของพี่สาว โดยตั้งใจสั่งสมบุญกุศลอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย
วันหนึ่ง นางสุภัททาได้ไปนิมนต์พระเรวตเถระมาฉันภัตตาหารที่บ้าน พระเถระต้องการให้นางได้บุญมากขึ้นกว่านี้ จึงแนะนำให้นางมีโอกาสถวายสังฆทานแด่คณะสงฆ์ โดยท่านเมตตาพาพระภิกษุอีก ๗ รูป เพื่อให้เป็นองค์สงฆ์มาฉันที่บ้านด้วย นางได้ถวายภัตตาหารแด่พระทุกรูปด้วยจิตเลื่อมใสยิ่งนัก
อุปนิสัยในการถวายทานของทั้งสอง พี่น้องนั้นแตกต่างกัน คือ พี่สาวมักเลือกถวายเฉพาะพระที่ตนศรัทธาหรือคุ้นเคย แต่น้องสาวไม่เลือกถวายเฉพาะเจาะจงรูปใด ครั้นละโลกไป น้องสาวไปเกิดเป็นเทพธิดาในชั้นนิมมานรดี ส่วนพี่สาวได้ไปบังเกิดในชั้นดาวดึงส์ เป็นบริจาริกา ของท้าวสักกเทวราช
เทพธิดาสุภัททาตรวจตราสมบัติของตนในชั้นนิมมานรดีก็พบว่า “สมบัติเหล่านี้ เราได้มาด้วยการอยู่ในโอวาทของพี่สาว แล้วทำทานด้วยจิตที่มุ่งไปในหมู่สงฆ์” จากนั้นก็ตรวจดูสมบัติของพี่สาวตน ก็เห็นว่าพี่สาวได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาในชั้นดาวดึงส์ซึ่งต่ำกว่าตน นางจึงคิดที่จะอนุเคราะห์พี่สาวโดยลงไปหาที่วิมานของภัททาเทพธิดา พร้อมกับกล่าวเรียกชื่อของอดีตพี่สาวแสนดี ฝ่ายภัททาเทพธิดาเห็นเทพธิดาผู้แปลกหน้า จึงถามขึ้นว่า “ท่านมีรัศมีรุ่งเรืองเกินทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน ท่านมาจากเทวโลกชั้นไหน จึงได้เรียกชื่อเดิมของข้าพเจ้าว่าภัททา”
สุภัททาเทพธิดาตอบว่า “ฉันชื่อสุภัททา ในภพครั้งยังเป็นมนุษย์ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ ทั้งได้เป็นภรรยาร่วมสามีของพี่ด้วย ครั้นละจากภพมนุษย์แล้ว ก็ได้ไปเกิดในชั้นนิมมานรดี” ภัททาเทพธิดาถามถึงบุพกรรมของน้องสาวว่า ทำบุญอะไรถึงได้ไปบังเกิดในชั้นนิมมานรดี ทั้งยังเป็นผู้สว่างไสวรุ่งเรืองมากเช่นนี้ สุภัททาเทพธิดาก็เฉลยว่า “เมื่อชาติก่อน ฉันมีใจเลื่อมใสได้ถวายบิณฑบาต ๘ ที่ แด่สงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคล ๘ รูป เพราะบุญนั้นฉันจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ และมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ”
ภัททาเทพธิดาถามต่อไปว่า “พี่ได้ถวายภัตตาหารแด่ภิกษุทั้งหลายผู้ประพฤติพรหมจรรย์มากครั้งกว่าเธอ แต่ทำไมยังเกิดในเหล่าเทวดาชั้นต่ำกว่าเธอ ส่วนเธอได้ถวายน้อยครั้งกว่าพี่ ทำไมจึงได้รับผลวิเศษเช่นนี้ล่ะ”
สุภัททาเทพธิดาจึงอธิบายบุพกรรมของตนเพิ่มไปอีกว่า “พระเรวตเถระมุ่งจะให้เกิดประโยชน์เพื่ออนุเคราะห์แก่ฉัน จึงบอกให้ฉันถวายแด่สงฆ์เถิด เพราะการถวายทานที่เป็นไปในหมู่สงฆ์นั้น มีผลมากกว่าการถวายทานเฉพาะเจาะจงบุคคล ทานของฉันจึงเป็นสังฆทานซึ่งมีผลหาประมาณมิได้ ส่วนพี่ถวายเฉพาะพระภิกษุเป็นรายบุคคล ดังนั้นทานของพี่จึงมีผลไม่มากเท่าฉัน”
ภัททาเทพธิดาได้ฟังก็รู้สึกอัศจรรย์ใจ จึงกล่าวว่า “พี่เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า การถวายสังฆทานมีผลมาก หากพี่กลับไปเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง จะหมั่นถวายทานมุ่งตรงต่อหมู่สงฆ์ และจะไม่ประมาทในการดำเนินชีวิตเลย” จากนั้นสุภัททาเทพธิดาก็ลาไปสวรรค์ชั้นนิมมานรดีของตน
ลำดับนั้น ท้าวสักกะทอดพระเนตรเห็นสุภัททาเทพธิดาซึ่งมีรัศมีรุ่งเรืองกว่าชาวสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมด และได้สดับการสนทนาของเทพธิดาทั้งสอง จึงตรัสสรรเสริญผลบุญอันมากมายของสังฆทานว่า “ดูก่อนภัททา น้องสาวของเธอรุ่งเรืองกว่าเธอ ก็เพราะในชาติก่อนนางได้ถวายสังฆทานซึ่งมีผลไม่มีที่เปรียบได้ ความจริงในเรื่องนี้ ฉันเคยทูลถามพระพุทธเจ้าครั้งประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ว่าถวายทานใบุคคลประเภทใดถึงจะมีผลมาก ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสตอบฉันอย่างแจ่มแจ้งว่า
ชื่อว่าสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติตรง ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาและศีล เมื่อมนุษย์ทั้งหลายผู้มุ่งบุญถวายทานในท่านเหล่านี้ ทานที่ถวายแด่หมู่สงฆ์ย่อมมีผลมากกว่าถวายเป็นรายบุคคล แม้ว่าจะเป็นท่านผู้ปฏิบัติอริยมรรค ๔ หรือท่านผู้ตั้งอยู่ในอริยผล ๔ ก็ตามที
พระสงฆ์เป็นผู้มีคุณยิ่งใหญ่ไพบูลย์ ไม่มีที่เปรียบได้ เหมือนทะเลที่ยากจะคาดคะเนได้ว่ามีปริมาณน้ำเท่านั้นเท่านี้ ฉะนั้น พระสงฆ์แลเป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้มีความเพียร พระสงฆ์เป็นเยี่ยมในหมู่นรชน เป็นผู้นำแสงสว่างแห่งพระสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศแล้วมาชี้แจงแถลงไข ใครก็ตามที่ได้ถวายทานมุ่งตรงต่อหมู่สงฆ์ ชื่อว่าเป็นทานที่ถวายดีแล้วและบูชาโดยชอบแล้ว เพราะทานนั้นจัดเป็นสังฆทานที่มีผลมากมาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับความเป็นหมู่คณะส่วนรวมมากกว่าส่วนบุคคล หากมองในระยะยาว ถ้าปรารถนาให้พระศาสนามั่นคงเป็นที่พึ่งของมวลมนุษยชาติในยุคต่อ ๆ ไปแล้ว ก็ต้องอาศัยการขับเคลื่อนจากหมู่คณะสงฆ์ มิใช่จากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เพราะการสืบทอดพระศาสนาเป็นภารกิจของศาสนทายาททุกรุ่นทุกคน ดังนั้นจึงเป็นเหตุเป็นผลว่า ทำไมการถวายด้วยใจที่มุ่งไปในหมู่สงฆ์จึงได้ผลบุญมากกว่าการเลือกถวายรายบุคคล การเลือกถวายเจาะจงรายบุคคลแม้ว่าเป็นผู้มีคุณวิเศษมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่เทียบอานิสงส์แห่งการถวายทานที่มุ่งตรงต่อหมู่คณะสงฆ์ได้เลย ดังนั้นเมื่อปรารภเหตุจะถวายทาน ไม่พึงเลือกที่รักผลักที่ชังในตัวพระ พึงถวายเป็นสังฆทานอุทิศสงฆ์เถิดประเสริฐนักได้ทั้งบุญเน็ต ๆ ได้ทั้งประโยชน์ต่อพระศาสนา และอนุชนรุ่นหลังที่จะตามมาอีกมากมาย