วารสารอยู่ในบุญ ธรรมะออนไลน์

พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา บทความข่าว ผลการปฏิบัติธรรม ตักบาตรพระ บาลีน่ารู้ กฏแห่งกรรม ฝันในฝัน บวชพระ

บทความอยู่ในบุญ ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานบันทึกไว้มากมายว่า นรก-สวรรค์มีจริง แต่ทำไมคนจำนวนไม่น้อยยังสงสัยว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?

หลวงพ่อตอบปัญหา
เรื่อง : หลวงพ่อทัตตชีโว

 

 

ในพระไตรปิฎกมีหลักฐานบันทึกไว้มากมายว่า นรก-สวรรค์มีจริง แต่ทำไมคนจำนวนไม่น้อยยังสงสัยว่านรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่?

ANSWER
คำตอบ

 

    เมื่อสมัยก่อนที่หลวงพ่อจะบวช ความสงสัยเรื่องนรก-สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่ ก็เคยเกิดขึ้นกับหลวงพ่อเหมือนกัน เพราะว่าการหาครูบาอาจารย์ในทางธรรมที่กล้ายืนยันว่า     นรก-สวรรค์มีจริง นับวันจะหาได้น้อยเต็มที 


    ยิ่งในยุคนี้เป็นยุคที่เทคโนโลยีเจริญ    เต็มที่ ถ้าหากมีพระอาจารย์รูปใดยืนยันว่ามีจริง ก็มักจะถูกผู้ที่ไม่เชื่อออกมากล่าวโจมตีว่า เอาสวรรค์มาล่อ เอานรกมาขู่ ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไป แม้แต่ชาวพุทธก็ชักลังเลว่า นรก-สวรรค์มีจริงหรือไม่มีจริง ทั้งๆ ที่เรื่องสวรรค์และนรกนี้เป็นเรื่องราวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแสดงธรรมไว้มากมาย แล้วก็      มีการบันทึกเป็นหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก มาเป็นพัน ๆ ปี


    เมื่อสมัยหลวงพ่อยังเรียนอยู่ชั้นประถมต้น ก็เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง เพราะผู้ใหญ่บอกไว้ตั้งแต่จำความได้ แต่พออยู่ประมาณ    ชั้น ป.๔ ก็เริ่มไม่แน่ใจ เพราะมีผู้ใหญ่บางคนที่ไม่เชื่อมาพูดให้ได้ยินว่านรก-สวรรค์ไม่มีจริง 


    เมื่อความเห็นของผู้ใหญ่แบ่งเป็น ๒ กลุ่มแบบนี้ หลวงพ่อเองแม้เป็นเด็กแต่ก็ต้องการ  คำยืนยันจากผู้ใหญ่ แต่ก็ปรากฏว่าหาผู้ที่กล้ายืนยันแบบชัด ๆ ไม่ค่อยได้ 


    หลวงพ่อนำคำถามนี้ไปถามพระ ถามครู ถามลุงป้าน้าอา เพื่อต้องการคำยืนยันว่าสวรรค์-นรกมีจริงหรือไม่มีจริง แล้วก็พบว่า ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่จะตอบแบบก้ำกึ่งว่ามันน่าจะมี เพราะว่าในพระไตรปิฎกมีบันทึกไว้มาก แต่ว่าท่านเองก็ไม่เคยเห็นด้วยตัวเอง 


    การที่ท่านเชื่อว่าน่าจะมี ก็เพราะว่า  พระไตรปิฎกนั้นเป็นบันทึกของพระอรหันต์ ไม่ใช่บันทึกของชาวบ้านปุถุชน แล้วในการที่คัดลอกต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ บรรพบุรุษของเราในยุคโน้นก็ไม่มีเหตุผลว่าจะโกหกเราไปทำไม เพราะท่านก็ไม่ได้อะไรจากการที่คัดลอกพระไตรปิฎกไว้เป็นมรดกให้แก่ลูกหลาน


    การคัดลอกพระไตรปิฎกนั้น หลวงพ่อ ยังทันได้เห็นเมื่อตอนเป็นเด็ก สมัยนั้นเวลา   เขาคัดลอกลงใบลาน กว่าจะได้ใบลานมาใช้งาน เขาก็ต้องลงแรงกันมากทีเดียว 


    เขาต้องไปเลือกใบลานก่อน เลือกแล้วเลือกอีกอยู่นาน แล้วก็นำมาตาก นำมาผึ่งแดด แล้วก็นำมาตัด นำมากรีด จนกระทั่งได้ขนาดที่พอดี แล้วก็ใช้เหล็กเขียนตัวอักษรลงไปบน ใบลาน 


    การเขียนอักษรบนใบลาน เขาใช้คำศัพท์ว่า “จาร” 


    คำว่า “จาร” แปลว่า “เขียน” การใช้เหล็กจารก็คือ การใช้เหล็กเขียน โดยมีด้ามจับเป็นไม้ แล้วตรงปลายมีเหล็กแหลมใช้เขียน   ลงไปบนใบลาน 


    เวลาเขียนต้องกดปลายเหล็กแหลม ๆ ให้กินลงไปในเนื้อของใบลาน พอเขียนเสร็จหมด ๑ ใบแล้ว ก็ต้องเอาน้ำมันของต้นยางผสมกับดินหม้อดำ ๆ ที่ได้มาจากก้นหม้อ      ก้นกระทะ พอผสมได้ที่แล้วก็จะได้น้ำมันยางเป็นสีดำ แล้วเขาก็ทาลงไปที่ใบลาน 


    เมื่อทาลงไปแล้ว น้ำมันยางกับดินหม้อดำ ๆ ก็แทรกเข้าไปในเนื้อของใบลาน แล้วเขาก็ใช้ผ้าค่อย ๆ เช็ดสีดำ ๆ ที่เปื้อนใบลานอยู่ออกไป ก็จะเหลือแต่สีดำ ๆ ฝังไว้ในรอยขีดรอยเขียนบนใบลาน


    เพราะฉะนั้น กว่าจะเขียนใบลานได้แต่ละใบ ไม่รู้เขาเมื่อยเขาเหนื่อยกันขนาดไหน ถ้าเขียนผิดพลาดตัวหนึ่งก็ต้องทิ้งทั้งแผ่น เพราะลบไม่ได้ การเขียนพระไตรปิฎกในอดีตจึงเหนื่อยหนักหนาสาหัสนัก


    เมื่อตอนหลวงพ่อยังเด็กก็เคยได้ยินผู้ใหญ่รุ่นนั้นท่านบ่นเหมือนกันว่า วันนี้เขียน ได้ตั้ง ๒ แผ่น ๓ แผ่น เมื่อยมือเมื่อยหลัง     ไปหมดเลย 


    หลวงพ่อเป็นเด็กก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรมาก ก็เลยถามท่านว่า ถ้าเมื่อยแล้วจะไปเขียนทำไม ท่านก็บอกว่า “ฉันจะเอาบุญ” 


    หลวงพ่อก็เลยได้คิดว่า ที่ท่านมานั่ง  หลังขดหลังแข็งจารึกพระไตรปิฎกลงใบลานเป็นวัน ๆ ก็เพราะว่า ท่านจะเอาบุญ ท่านไม่ได้รับจ้างเขียนหนังสือ ไม่ได้รับจ้างเขียนใบลาน 


    การที่หลวงพ่อใช้คำว่าท่าน ก็เพราะว่า มีทั้งพระ มีทั้งฆราวาสที่ผ่านการบวชแล้ว มาช่วยกันเขียน  


    ฆราวาสก็คืออดีตพระ เพราะผู้ชายอายุครบ ๒๐ ปีในยุคโน้น ก็บวชเรียนกัน ทำให้มีความสามารถในการเขียนใบลาน เมื่อสึกหา ลาเพศไปมีครอบครัว พอพ้นฤดูทำนา ท่านก็มาช่วยหลวงพ่อ มาช่วยพระอาจารย์เขียน          พระไตรปิฎก จารตัวอักษรลงใบลานกัน เขาทำสืบทอดกันอย่างนี้มาเป็นร้อยเป็นพันปี ทำด้วยความศรัทธา ทำด้วยความเหนื่อยยาก เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่มีเหตุผลจะต้องมาเขียนเพื่อโกหกคนรุ่นหลัง


    เรื่องที่เล่ามาเป็นแค่เรื่องการเขียน      ลงใบลาน ส่วนเรื่องการลองผิดลองถูกเมื่อ    พัน ๆ ปีก่อนหน้าโน้น กว่าจะสรุปได้ว่าต้องเป็นใบลาน ก็คงใช้เวลาอยู่ไม่น้อย แล้วใบลานก็ยังมีหลายชนิด กว่าจะสรุปได้ว่าใบลาน   ชนิดไหน ใช้ได้หรือไม่ได้ ก็คงหมดเวลาอีก    ไม่น้อย เมื่อได้ชนิดใบลานแล้ว กว่าจะสรุปได้ว่าต้องใช้ใบแก่ขนาดนั้นขนาดนี้ เลือกแล้วเลือกอีก ก็คงใช้เวลาอีกไม่น้อย  


    เพราะฉะนั้น หลวงพ่อ หลวงปู่ในยุคโน้น แม้ตัวท่านเองยังมองนรกมองสวรรค์ไม่เห็น แต่ท่านก็มีความมั่นใจว่าอย่างน้อยต้องมีจริง เพราะเห็นความวิริยอุตสาหะของปู่ย่าตาทวดของท่านที่พากเพียรบันทึกพระไตรปิฎกลง   ใบลานสืบทอดกันมาเป็นพัน ๆ ปี 


    ในฐานะที่ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นเด็ก     จึงตระเวนถามไปทั่ว บางท่านก็ตอบชัดเจนว่ามีจริง แต่พอซักถามต่อว่า หลวงพ่อหลวงพี่ เคยเห็นหรือ ท่านก็ดีนะตอบตรง ๆ ว่าไม่เคย 


    หลวงพ่อก็ซักถามอีกว่า แล้วทำไม   หลวงพ่อหลวงพี่มั่นใจล่ะว่ามีจริง? 


    ท่านก็ตอบว่า แม้ท่านจะไม่เคยเห็น แต่อาจารย์บ้าง หลวงลุงของท่านบ้างเคยเห็น แล้วท่านก็ไม่รู้จะโกหกไปทำไม 


    ความที่สมาธิของท่านยังไม่แก่กล้า พอมีคนไปถาม ท่านก็ตอบมาแบบก้ำกึ่ง เพราะท่านก็กลัวว่าจะกลายเป็นพูดเท็จไป เมื่อท่านตอบมาแบบนี้ ก็เลยทำให้คนฟังหมดความมั่นใจ


    หลวงพ่อเองเมื่อสมัยก่อนบวช เมื่อเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ยังสงสัยเรื่องนรก-สวรรค์ว่ามีจริงหรือไม่     อยู่เหมือนเดิม แต่ก็หาใครตอบคำถามแบบ กล้ายืนยันไม่ได้สักที จนกระทั่งเมื่อได้มาพบกับคุณยาย (คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง) พอพบกันครั้งแรกก็ถาม    คุณยายทันทีว่า

 
    “ยาย เรื่องนรก-สวรรค์นี่มีจริงหรือไม่จริง?”


    คุณยายตอบแบบชัดเจนเลยว่า “มีสิคุณ” คุณยายตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจขนาดนั้น      ยังไม่พอ ยังยืนยันเพิ่มเติมด้วยว่า 


    “ยายไปช่วยพ่อมาด้วยตัวเอง พ่อยาย ละโลกแล้วไปตกนรก เพราะว่าตอนมีชีวิตอยู่กินเหล้าทุกเย็น ยายไปช่วยมาเลยนะ อาราธนาพระธรรมกายในตัวไปช่วยมาเลย พ่อยายจึงได้พ้นนรก”


    หลวงพ่อก็ซักถามต่อว่า “ยาย คนที่    ตกนรกไปช่วยกันได้หรือ?”


    “ได้สิคุณ”  


    “แล้วอย่างผมจะมีโอกาสทำได้บ้างไหม ?” 


    “ได้สิคุณ ยายนี่กอข้อไม่กระดิกหู (ก ข โบราณอ่านว่า กอข้อ) อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ยายยังทำได้ พวกคุณเป็นนักศึกษาเรียนจบตั้งเมืองนอกเมืองนา ถ้าตั้งใจจริง ๆ ทำไมจะทำไม่ได้” 


    เพราะฉะนั้น เมื่อคุณยายตอบหนักแน่นอย่างนี้ ก็ทำให้อุ่นใจได้ว่า 


    ๑) นรก-สวรรค์มีจริงแน่


    ๒) ทุกคนมีสิทธิ์ไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ไปนรก ไปสวรรค์ได้ แต่ว่าต้องขยันนั่งสมาธิ


    ๓) ผู้พูดได้ไปช่วยพ่อของตัวเองมาแล้ว และก็ยืนยันด้วยว่าอย่างเราก็ทำได้


    ต่อมาภายหลัง คุณยายท่านก็เล่าให้ฟัง      เพิ่มเติมว่า 


    “หลวงปู่วัดปากน้ำท่านใช้คำว่า การไปนรก-สวรรค์เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับคนที่       เข้าถึงพระธรรมกาย เพราะถ้ายากก็คงจะไม่มีคนทำได้ มันง่ายสำหรับคนที่ทำได้ แต่มันยากสำหรับคนที่ไม่ได้ทำ”


    หลวงพ่อก็ซักถามอีกว่า “ยาย ในโรงงานทำวิชชารุ่นเดียวกับยาย มีคนทำได้หลายคนไหม หรือว่าทำได้แต่เฉพาะยาย?” 


    คุณยายก็ให้ความมั่นใจว่า “ในโรงงานทำวิชชาทำได้หลายคน ขอให้คุณขยันนั่งสมาธิให้มาก ๆ ก็จะทำได้เอง”


    ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังคลางแคลงสงสัยเรื่องนี้ ทางที่ดีก็คืออย่าเพิ่งเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ให้เอาความเชื่อไว้บนหิ้ง เอาความจริงมาพิสูจน์ พิสูจน์ด้วยการขยันนั่งสมาธิทุกวัน พร้อมทั้งตั้งใจทำทานรักษาศีลไปด้วย วันใด   ที่เราเข้าถึงพระธรรมกาย วันนั้นเราก็จะเกิดความมั่นใจขึ้นมาเองว่า การเข้าถึงธรรมมีจริง นรก-สวรรค์มีจริง และคำสอนที่บันทึกใน            พระไตรปิฎกเป็นความจริง ขอให้นั่งสมาธิ    ต่อไปทุกวัน โดยมีหลักสำคัญว่าทำให้จริง   และทำให้ถูกวิธี เพราะของจริงต้องคู่กับคนจริง เราถึงจะพิสูจน์ความจริงได้ด้วยตัวเราเอง    

 

 

 

บทความนี้ ถูกใจคุณหรือไม่ + -

บทความอยู่ในบุญทั้งหมด ฉบับที่ ๑๕๗ เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๘

สิ่งดีๆมีไว้แบ่งปัน อะไรดีๆมีอีกเยอะ กด Like facebook กัลยาณมิตร

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล