เรื่องน่ารู้
เรื่อง : พระมหาพงศ์ศักดิ์ ฐานิโย, ดร.
ผู้ใด...ได้ชื่อว่าคู่ควรกับมรดกธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้
บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้นับแต่อดีตอันไกลโพ้น
ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา อาตาปิโน ฌายโต พฺราหฺมณสฺส
วิธูปยํ ติฏฺฐติ มารเสนํ สูโรว โอภาสยมนฺตลิกฺขํ
เมื่อใดธรรมทั้งหลายปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
พราหมณ์นั้นกําจัดมารและเสนาเสียได้
ดุจดังดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นกําจัดความมืด ทําอากาศให้สว่างฉะนั้น
ด้วยมโนปณิธานของพระบรมโพธิสัตว์กอปรกับการบํา เพ็ญบารมีอย่างยิ่งยวด ในที่สุดพระบรมโพธิสัตว์ได้บรรลุมโนปณิธานที่ได้ตั้งใจไว้ตลอด ๔ อสงไขยแสนมหากัป นับแต่ภายหลังจากได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ก้าวข้ามบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นมนุษย์และของทิพย์บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น “พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” สมความปรารถนาที่ได้ตั้งไว้ในคืนวันเพ็ญเดือน ๖ วิสาขปุณณมี
แม้จะกล่าวว่าการบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ เป็นการบรรลุมโนปณิธานของพระบรมโพธิสัตว์ก็ตามแต่หากจะกล่าวให้ชัดเจนแล้ว อาจกล่าวได้ว่าบรรลุมโนปณิธานเพียง “กึ่งหนึ่ง”ด้วยเหตุที่ว่าบารมีที่ทรงบํา เพ็ญมาตลอดกาลยาวนานนี้หาได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระองค์เองเท่านั้น แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของมหาชน
ในการนี้พระพุทธองค์ทรงใช้เวลาตลอด ๗ สัปดาห์เพื่อทบทวนสิ่งที่ทรงค้นพบด้วยการ “เสวยวิมุตติสุข” เฉกเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ในกาลก่อน แต่ผู้ใดหนอจะเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมอันลุ่มลึกคัมภีรภาพของพระองค์ได้เล่า ในกาลนั้นพระพุทธองค์ทรงระลึกถึง “อาฬารดาบส กาลามโคตร” แต่ในขณะเดียวกัน พระพุทธองค์ได้ทรงทราบถึงการทํากาละไปเมื่อ ๗ วันก่อนของอาฬารดาบสด้วยญาณทัสนะ ครั้นทรงระลึกถึง “อุทกดาบสรามบุตร” จึงทรงทราบถึงการทํากาละไปแล้วเมื่อวันก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้พระพุทธองค์จึงทรงระลึกนึกถึง “ปัญจวัคคีย์” มีท่านโกณฑัญญะ เป็นต้น และเสด็จจากริมฝั่ง “แม่น้ำเนรัญชรา”ไปยัง “ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน”
อนุตฺตรํ ธมฺมจฺกกํ ปวตฺติตํ...พระพุทธองค์ทรงหมุนวงล้อแห่งธรรม
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันในวันเพ็ญเดือน ๘ อาสาฬหปุณณมีการพบกันของพระพุทธองค์และ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕นี้มิใช่ครั้งแรก หากเป็นการพบกันหลังจากเกิดความขัดแยังในเรื่อง “วิธีการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์” กล่าวคือ ปัญจวัคคีย์ทั้ง๕เห็นว่า “อัตตกิลมถานุโยค”หรือ “การบํา เพ็ญทุกรกิริยา” นี้ เป็นหนทางเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์แต่พระพุทธองค์หาได้ทรงเห็นเช่นนั้นไม่ ดังนั้นบรรยากาศการพบกันในวันนั้นจึงไม่สู้ดีนัก แต่ด้วยบารมีธรรมและพระมหากรุณาธิคุณที่พระพุทธองค์ทรงมีทํา ให้ปัญจวัคคีย์ทั้ง๕มีใจยินดีในการฟังธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในครั้งนั้น
จนในท้ายที่สุด “ธรรมจักษุ” อันปราศจากธุลีและมลทินทั้งหลาย ได้บังเกิดแก่ท่านโกณฑัญญะว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา... สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา” บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธองค์รวมถึงการบรรลุธรรมของ “พรหม ๑๘ โกฏิ” ในครั้งนั้น ดังที่ปรากฏใน “สารัตถปกาสินี” อรรถกถาสังยุตตนิกาย และ “ชาดกมาลา”
เมื่อมาถึงตรงนี้อาจกล่าวได้ว่า “เป็นจุดเริ่มต้น” ของการบรรลุมโนปณิธาน “อีกกึ่งหนึ่ง” ของพระพุทธองค์ที่ทรงตั้งไว้ตลอดกาลยาวนาน คือ การนํา ธรรมะที่ทรงไป “เห็นและรู้” เฉกเช่นเดียวกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มาแนะนํา สั่งสอนแก่เวไนยสัตว์ทั้งหลายให้เห็นและรู้ตาม
เอตมฺภควตา พาราณสิยํ อิสิปตเน มิคทาเย
อนุตฺตรํ ธมฺมจกฺกํ ปวตฺติตํ อปฺปฏิวตฺติยํ
สมเณน วา พฺราหฺมเณน วา เทเวน วา มาเรน วา พฺรหฺมุนา วา เกนจิ วา โลกสฺมึ
นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงหมุนแล้ว
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี
อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ให้หมุนกลับไม่ได้
สาระสําคัญแห่ง “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ในวันอาสาฬหบูชาเมื่อ ๒,๖๐๖ ปีก่อน
เมื่อกล่าวถึงสาระสํา คัญของพระปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” ที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ที่ปรากฏในพระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎกบาลีมีโครงสร้างและสาระสำคัญดังนี้
๑. การเว้นห่างจาก “หนทางสุดโต่ง ๒ ทาง” คือ “กามสุขัลลิกานุโยค” (การประกอบตนให้อยู่ในความสุขด้วยกาม) และ “อัตตกิลมถานุโยค”(การบํา เพ็ญทุกรกิริยา) โดยหันมาปฏิบัติตามหนทางสายกลางที่เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา”
๒. กล่าวถึง “อริยสัจ ๔” ใน ๒ ลักษณะ ได้แก่
๒.๑ “คํา จํา กัดความ” ของอริยสัจ ๔ กล่าวคือ “ทุกขอริยสัจ” (ทุกข์) คือ “ความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์๕” (อุปาทานขันธ์๕) “ทุกขสมุทัยอริยสัจ” (สมุทัย) คือ “ตัณหา ๓” (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) “ทุกขนิโรธอริยสัจ”(นิโรธ) คือ “ความดับแห่งทุกข์” และ “ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” (มรรค) คือ “อริยมรรคมีองค์๘” มี“สัมมาทิฐิ” เป็นต้น และ “สัมมาสมาธิ” เป็นที่สุด
๒.๒ “รอบ ๓ อาการ ๑๒” ในอริยสัจ ๔ กล่าวคือ
๑. ทุกข์ นี้คือ...ทุกข์ ทุกข์...ควรกําหนดรู้ ทุกข์...ได้กําหนดรู้แล้ว
๒. สมุทัย นี้คือ...สมุทัย สมุทัย...ควรละ สมุทัย...ได้ละแล้ว
๓. นิโรธ นี้คือ...นิโรธ นิโรธ...ควรทําให้แจ้ง นิโรธ...ได้ทําให้แจ้งแล้ว
๔. มรรค นี้คือ...มรรค มรรค...ควรทําให้เจริญ มรรค...ได้ทําให้เจริญแล้ว
ยโต จ โข เม ภิกฺขเว อิเมสุ จตูสุ อริยสจฺเจสุ
เอวนฺติปริวฏฺฏํ ทฺวาทสาการํ ยถาภูตํ ญาณทสฺสน สุวิสุทฺธํ อโหสิ
อถาหํ ภิกฺขเว สเทวเก โลเก สมารเก สพฺรหฺมเก สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย สเทวมนุสฺสาย
อนุตฺตรํ สมฺมาสมฺโพธึ อภิสมฺพุทฺโธ ปจฺจญาสึ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดความรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา
ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ รอบ ๓ อาการ ๑๒ อย่างนี้หมดจดดีแล้ว
เมื่อนั้นเราจึงยืนยันได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมในโลก
กับทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์
“ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” มรดกธรรมที่สืบทอดมาถึงในปัจจุบัน
“ธัมมจักกัปปวัตนสูตร”นับเป็นพระสูตรที่สาคัญต่อพระพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน เพราะแม้จะเกิดความเห็นที่ไม่ตรงกันในการสังคายนาพระธรรมวินัยจนเกิดการแบ่งแยกออกเป็นนิกายต่าง ๆ ถึง ๑๘-๒๐ นิกายก็ตาม แต่ “ธัมมจักกัปปวัตนสูตร” นี้ยังคงสืบทอดต่อกันมาในคัมภีร์ของนิกายต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน โดยนักวิชาการสามารถรวบรวมได้กว่า ๒๓ คัมภีร์
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาบาลี (สังยุตตนิกาย)
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาสันสกฤต (คัมภีร์มหาวัสตุ)
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาจีนโบราณ (สังยุกตอาคม 雜阿含經)
ธัมมจักกัปปวัตนสูตร ภาษาทิเบต (Chos-kyi-hฺkhor-lo rab-tu bskor-bahฺi mdo)
ผู้ที่คู่ควรกับมรดรธรรมที่พระพุทธองค์ประทานไว้
"ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" นี้นับว่าเป็นพระสูตรสำคัญที่รู้ตักกันเป็นอย่างดี ในฐานะองพระปฐมเทศนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักธรรมในเรื่อง "อริยสัจ ๔" และ "อริยมรรคมีองค์ ๘" ที่ปรากฎอยู่พระสูตรนี้ เป็นหลักคำสอนที่มีความสาคัญและสมบูรณ์อยู่ในตัว สำหรับหลักธรรมอื่น ๆ นั้นถือเป็นบทขยายของ “อริยสัจ ๔”
และ “อริยมรรคมีองค์๘”ทั้งสิ้นประดุจพระราชบัญญัติหรือประมวลกฎหมายที่เป็นบทขยายของกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า "ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร" นี้ เป็นมรดรธรรมอันล้ำค่าที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาตลอด ๔ อสงไขยแสนมหากัป นับเนื่องแต่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และภายหลังจากตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เองแล้ว มิได้ทรงเก็บงํา อําพรางหรือปกปิดไว้แม้แต่น้อย หากแต่ทรงนํามาแสดงให้แจ่มแจ้ง งดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย ผู้ใดมี "ความเพียร" ประกอบด้วย "ความไม่ประมาท" ผู้นั้นย่อมคู่ควรต่อมรดรธรรมอันล้ำค่าที่พระพุทธองค์ประทานไว้
ในวันอาสาฬหบูชานี้ จึงควรที่พุทธศาสนิกชนจะหวนระลึกถึงปฏิปทาของพระพุทธองค์ พึงให้ความสำคัญในการศึกษาทั้งภาคปริยัติและลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการศึกษาอย่างแท้จริง หาใช่เพื่อนำมายกตนข่มทผู้อื่นแต่อย่างใด มิฉะนั้นแล้วปริยัตินี้คงไม่ต่างอะไรกับงูพิษ ซึ่งในที่สุดจะหวนกลับมากัดผู้นั้น และไม่อาจบรรลุมรรผลนิพพานดังมโนปณิธานที่พระพุทธองค์ทรงตั้งไว้อย่างน่าเสียดาย
อปฺปฏิวาณํ ปทหิสฺสาม กามํ
ตโจ นหารุ จ อฏฺฐิ จ อวสิสฺสตุ สรีเร อุปสุสฺสตุ มํสโลหิตํ ยนฺตํ
ปุริสตฺถาเมน ปุริสวิริเยน ปุริสปรกฺกเมน ปตฺตพฺพํ น ตํ อปาปุณิตฺวา
วิริยสฺส สณฺฐานํ ภวิสฺสติ
เราจักเริ่มตั้งความเพียรอันไม่ย่อหย่อนว่า
จะเหลืออยู่แต่หนัง เอ็น และกระดูกก็ตามที เนื้อและเลือดในสรีระจงเหืดแห้งไปเถิด
หากยังไม่บรรลุผลที่บุคคลพึงบรรลุได้ ด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ ด้วยความเพียรของบุรุษ
ด้วยความบากบั่นของบุรุษแล้ว จักไม่หยุดความเพียรเสีย