เคลียร์ข่าววัด
เรื่อง : ร.ลิ่วเฉลิมวงศ์
Line ID : natchy1972
พระรับเงินดีหรือไม่รับดี ?
พระรับเงินถือว่าไม่สละหรือเปล่า ?
รู้สึกสะดุดใจ e-card ในโลกโซเชียลที่บอกว่า
"...ทุกอย่างก็ใช้เงิน แล้วจะไม่ให้พระรับเงิน
แล้วรัฐบาลจะจัดการทุกอย่างฟรีให้ได้ไหม ?"
จากนั้นก็มีคนเอาไปโพสต์โต้กลับว่า.. "อยู่เป็นพระไม่ได้ เชิญลาสิกขาครับ พระพุทธองค์สอนไว้ให้สละไม่ให้สะสม"
จากโพสต์นี้เอง..ทำให้หลายคนรู้สึกเห็นด้วยว่า..ถ้าพระทำไม่ได้ก็ควรจะสึก ๆ ไปเสีย !!!
แล้วถ้าจะให้พระสึกกันจริงๆ ก็คงหมดเกือบประเทศแหละค่ะ เพราะรับเงินกันส่วนใหญ่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้อีกไม่ช้าพระพุทธศาสนาก็คงสูญสิ้นไปจากแผ่นดินนี้จริง ๆ
ดังนั้น การแก้ปัญหาด้วยการสึกพระไม่น่าใช่วิธีการที่ถูกต้อง แล้วที่สำคัญพระก็ไม่ได้ผิดอะไรร้ายแรง ไม่ได้ปาราชิกเสียหน่อย
ในอีกประเด็นที่มีคนเข้าใจผิดมาก จากประโยคที่โพสต์ว่า..พระพุทธองค์สอนไว้ให้สละคำว่า "สละ" ในที่นี้พระองค์ทรงให้สละกิเลส ไม่ได้ให้สละสิ่งที่เกื้อกูลต่อการบรรลุธรรม หรือไม่ได้ให้สละสิ่งที่ช่วยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เหมือนครั้งที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีถวายวัดพระเชตวันอันใหญ่โตมโหฬารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในครั้งที่นางวิสาขาถวายวัดบุพพารามที่สร้างด้วยโลหะปราสาทอันแสนอลังการ
พระพุทธองค์ก็ทรงรับไว้ ไม่ได้สละหรือเอาวัดอันใหญ่โตนั้นไปบริจาคใครเลย ตรงกันข้ามพระองค์กลับทรงปักหลักใช้เป็นที่จำพรรษายาวนานหลายปี และทรงใช้วัดเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่คำสอนให้มั่นคงมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ส่วนในเรื่องของการบวช พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ทรงสนับสนุนให้บวช แล้วต้องอยู่แบบแร้นแค้น ยากไร้ อดอยาก ไม่มีปัจจัย ๔ ไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ไม่มียารักษาโรค จนร่างกายทรมาน ไม่มีสภาพที่เหมาะสมกับการปฏิบัติธรรม เพราะถ้าพระพุทธองค์ มีพระประสงค์ให้สละทุกอย่างอย่างที่หลายคนเข้าใจ พระองค์จะทรงปฏิเสธเรื่องครอบปฏิบัติ ๕ ประการที่พระเทวทัตขอทำไม
ข้อปฏิบัติ ๕ ประการที่พระพุทธองค์ไม่ทรงยอมรับก็คือ
๑. ให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ป่าตลอดชีวิตเข้าสู่บ้านมีโทษ
๒. ให้ภิกษุถือบิณฑบาตตลอดชีวิตรับนิมนต์มีโทษ
๓. ให้ภิกษุถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิตรับคฤหบดีจีวรผ้าที่เขาถวายมีโทษ
๔. ให้ภิกษุอยู่โคนไม้ตลอดชีวิตเข้าสู่ที่มุงบังมีโทษ
๕. ให้ภิกษุห้ามฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิตถ้าฉันมีโท
การที่พระบรมศาสดาทรงปฏิเสธข้อปฏิบัติ ๕ ประการที่พระเทวทัตเสนอข้างต้น เพราะสิ่งที่พระเทวทัตทูลขอนั้นออกแนว อัตตกิลมถานุโยค คือการประกอบตนเองให้ลำบากเกินไปซึ่งทำให้ยากต่อการบรรลุธรรม เพราะพวกที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ก็คือ พวกที่เดินทางสายกลางเท่านั้น
ทำไมพระในพุทธกาลอยู่ได้โดยไม่ต้องรับเงิน
ในสมัยนั้นมีกษัตริย์ มีอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีนางวิสาขา และมีทายกผู้เลื่อมใสศรัทธาจำนวนมากคอยดูแลจัดการถวายปัจจัย ๔ แด่คณะสงฆ์ทั้งหมด
สมัยนั้นนิยมการแลกเปลี่ยน ซึ่งมีทั้งการเอาของแรกของเอาแร่เงินแร่ทองไปแลกของ ส่วนการใช้เงินซื้อของเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สมัยนี้เราใช้เงินซื้อของเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยเป็นเหตุหนึ่งที่คนมาถวายเงินพระเพื่อความสะดวก
ในสมัยนั้นใช้น้ำจากลำธาร แม่น้ำ และก่อไฟในการหุงต้ม ให้แสงสว่างพระไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ เหมือนยุคปัจจุบัน
การเดินทางส่วนใหญ่ใช้วัวเทียมเกวียน ใช้ม้า ลา เป็นพาหนะ ไม่ใช้รถ ไม่ใช้น้ำมันพระจึงไม่ต้องจ่ายค่ารถเมล์ ค่าแท็กซี่
คนในยุคนั้นมีศีลธรรมชอบเข้าวัด ชอบดูแลอุปัฏฐากพระ จึงมีอุบาสกอุบาสิกามากมายเข้ามาช่วยงานวัด แต่ในปัจจุบันคนไม่ยอมเข้าวัด ไม่เคารพพระ ดูถูกดูแคลน คอยจับผิดด่าว่าพระ เช่น บอกว่า..พระห้ามรับเงิน แต่ตัวเองกลับไม่เข้าไปช่วยเหลือจัดหาปัจจัย ๔ อะไรให้ท่านเลย แล้วก็มากล่าวโทษท่านอยู่ฝ่ายเดียว
แต่พอสมัยพุทธกาลผ่านไป จนมาถึงยุคปัจจุบัน ในเมื่อสภาวะแวดล้อมทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด ทำให้พระมหากษัตริย์ไทยเราตั้งแต่ยุคโบราณมีพระราชดำริให้มีการถวายนิตยภัต (ถวายเงินค่าอาหาร) แด่พระสังฆราชและพระภิกษุที่พระองค์ทรงอุปถัมภ์อยู่เป็นประจำ
ดังนั้น เรื่องการรับเงินของพระจะถือว่าเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่ ก็น่าจะขึ้นกับเจตนาของการรับว่าเอาไปเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาอย่างไร เช่น เอาเงินไปสร้างโบสถ์ สร้างศาลา เพื่อให้คนมาถือศีล ปฏิบัติธรรม หรือรับเงินมาแล้วเพื่อเอามาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ายารักษาโรค ค่าพิมพ์หนังสือธรรมะไว้สอนคน คือ ถ้ารับมาแล้วมีเจตนาบริสุทธิ์ที่จะต่อลมหายใจพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไปอีก ก็ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายอะไรเลยมิใช่หรือ เพราะถ้าจะปล่อยให้วัดวาอารามไม่มีเงินสนับสนุน พระก็คงอยู่ไม่ได้ คำสอนของพระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ จนผู้คนขาดศีลธรรม คดโกงกัน ทะเลาะกัน จนบ้านเมืองลุกเป็นไฟแล้วท้ายที่สุด เราเองก็จะอยู่ในประเทศนี้อย่างหวาดระแวง ไม่มีความสุข
ทุกวันนี้ผู้เขียนก็ได้แต่ภาวนาว่า อยากให้ความเจริญทางด้านจิตใจของมนุษย์กลับคืนมาเหมือนในสมัยพุทธกาล ที่มีทายกเข้ามาอุปถัมภ์จัดหาปัจจัย ๔ ให้พระครบทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดจนมีสวัสดิการให้พระไปหาหมอฟรี ขึ้นรถฟรี เรียนฟรี เพื่อพระทุกรูปจะได้ไม่ต้องรับเงินเหมือนครั้งพุทธกาล
ถ้าผู้เขียน จบบทความด้วยประโยคนี้ ผู้อ่านบางคนคงแอบว่าผู้เขียนว่า..อย่าโลกสวยนักเลย ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เพราะผู้คนไม่ได้เห็นคุณค่าของพระเหมือนในสมัยพุทธกาลแล้ว ดังนั้นถ้าไม่เห็นคุณค่า ก็อย่าทำลาย หรือมุ่งมาเอาเงินพระ ทั้งๆที่พระก็ไม่ได้เอาเงินไปลงทุนค้ายาเสพติด เปิดบ่อน หรือซื้ออาวุธเพื่อรบกับใคร หรือทำอะไรที่เลวร้ายเลย
ดังนั้น ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธด้วยกัน ก็ขอให้อยู่ด้วยกันโดยใช้จิตเมตตา เห็นอกเห็นใจกัน ทำอะไรก็ให้อยู่บนรากฐานของความพอดี ให้คิดเสียว่า ถ้าเป็นญาติพี่น้องเรามาบวช เราจะปล่อยให้ลูกของเรา ให้พ่อที่อายุมากของเราไปบวชอย่างแร้นแค้นไหม หรือเราจะอุปถัมภ์ให้ท่านมีปัจจัย ๔ โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องปลีกย่อยเหล่านี้ แล้วเอาเวลามานั่งสมาธิ ศึกษาคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เต็มที่
บทความนี้เป็นเพียงมุมมองหนึ่งที่เขียนขึ้นเพราะอยากจะให้พุทธบริษัท 4 เห็นใจกันอยู่กันอย่างเข้าใจ ส่วนบทสรุปว่า "พระรับเงินดีหรือไม่รับดี" ก็ต้องสุดแล้วแต่ที่ผู้อ่านจะคิดตามวิจารณญาณ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมายาวนานอย่างไม่จบไม่สิ้น ซึ่งถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ก็คงดี เพราะพระองค์คือผู้ที่จะทรงให้ความกระจ่างที่เหมาะสมที่สุดกับยุคที่เปลี่ยนไป