คุณยายผู้ทรงคุณธรรม
โดย พระไพบูลย์ ธมฺมวิปุโล
"ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลนี้ จะมีสักกี่คนที่ตั้งความปรารถนา
ที่จะปราบพญามารให้หมดสิ้น"
วันนี้เป็นวันที่ ๔ ของงานบำเพ็ญกุศล ภาคค่ำอาตมามีความประทับใจในคุณธรรมของคุณยายอาจารย์ ซึ่งทำให้สามารถประคับประคองตัวเอง และรักที่จะอยู่สร้างบารมีกับหมู่คณะมาได้ถึงวันนี้ โดยสรุปมีอยู่ ๒ ประการ คือ
ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของคุณยายอาจารย์ และความโชคดีของเราที่ได้เป็นลูกหลานยายอยู่ในวงบุญของคุณยายอาจารย์
ในวัฏสงสารอันยาวไกล การเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้นยากยิ่งในแต่ละกัปจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ไม่เกิน ๕ ประองค์ ที่ผ่านเราไปเมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี เป็นพระองค์ที่ ๔ คือ พระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีคำกล่าวในพระไตรปิฎก (อรรถกถาสัมปสาทนียสูตรทีฆนิกาย เล่มที่ ๑๔ หน้า ๒๑๔) พรรณนาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระสารีบุตรซึ่งเป็นผู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแต่งตั้งเอาไว้ให้เป็นผู้เลิศด้วยปัญญาเปรียบเสมือนพระธรรมเสนาบดี สถานที่ใดที่ พระสารีบุตรเดินทางไปแสดงธรรม ก็เหมือน พระพุทธองค์เสด็จไปเอง
แม้ว่าพระสารีบุตรจะมีปัญญามาก เมื่อท่านกล่าวสรรเสริญคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากสิงที่ได้รู้ได้เห็น ท่านอุปมาไว้ว่า เหมือน แม่ใ]ก แห่งหนึ่งมีนํ้าท่วมล้น มีปริมาณมาก กว้างถึง ๑๘โยชน์ (๑โยชน์เท่ากับ ๑๖ กิโลเมตร) ที่บุรุษคนหนึ่งเอาก้นเข็มจุ่มลงไปในนํ้าเพื่อที่จะ ตักนํ้าขึ้นมา นํ้าที่ติดรูเข็มขึ้นมานั้นมีส่วนน้อย แต่นํ้าที่ไหลท่วมล้นไปมีปริมาณมากฉันใด พระพุทธคุณที่พระสาริบุตรสามารถนำมากล่าวสรรเสริญตามที่ท่านได้รูได้เห็นก็มืปริมาณเพียง นํ้าที่ติดก้นรูเข็มฉันนั้น
บุคคลใดบุคคลหนึ่งเอานิ้วมือจับฝุ่นขึ้นมา ฝ่นนั้นมีปริมาณน้อยเมื่อเทียบกับฝ่นในแผ่นดิน ฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรรู้เห็น และนำมากล่าวสรรเสริญได้ ก็เป็นเพียงฝ่นในกำมือ เท่านั้น
นิ้วที่ชี้ไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ หรือ นิ้วที่ชี้ไปในนภากาศ ตรงไหนที่นิ้วชี้ไปถึงน้ำในมหาสมุทร หรือชี้ไปถึงอากาศในนภากาศ ส่วนที่นิ้วชี้ถูกเมื่อเทียบกับส่วนที่นิ้วชี้ไม่ถูกแล้ว ส่วนที่นิ้วชี้ลูกนั้นมีปริมาณเพียงน้อยนิดฉันใด พระพุทธคุณที่พระสารีบุตรรู้เห็น และนำมากล่าวสรรเสริญได้ก็มีเพียงปริมาณน้อยนิดฉันนั้น
แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งจะตรัสสรรเสริญพรรณนาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ตลอดระยะเวลาอัน ยาวนานเป็นกัป กัปนั้นล่วงไปแล้ว หมดไปแล้ว ก็ยังกล่าวพระพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าไม่จบสิ้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง พระบรมโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ปรารถนาพระโพธิญาณ จะต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนานทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ ๒๐ อสงไขยกับแสนกัป คือตั้งความปรารถนาในใจ ๗ อสงไขย สร้างบารมี แล้วเปล่งวาจาตั้งความปรารถนาให้มหาชนได้ ทราบอีก ๙ อสงไขย หสังจากที่ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ ก่อนอีก ๔ อสงไขยกับแสนกัปพระบรมโพธิสัตว์ ทั้งหลายจึงต้องอากัยความเพียรอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน พระองค์จะด้องสละทรัพย์ อวัยวะ และชีวิต เพื่อแลกกับการบำเพ็ญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ มีทานบารมีเป็นเบื้องต้น มีอุเบกขา บารมีเป็นที่สุด และความปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายไปสู่พระนิพพานนั้นจะต้อง ไม่เลือนลางไปจากหัวใจของท่าน ตั้งแต่วันแรก ที่ตั้งความปรารถนา จนกระทั้งเมื่อพระองค์ ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
แต่หากจะมีใครสักคนหนึ่งมีหัวใจเยี่ยงพระบรมโพธิสัตว์ มีความปรารถนาที่จะพาสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลเข้าสู่พระนิพพานให้หมดสิ้นไม่มีเหลือเลย แม้มโนรถของบุคคลนั้นจะยังไม่สำเร็จลุล่วง เราควรจะตั้งท่านนั้นไว์ในฐานะใด? ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาลนิ้ จะมีสักกี่คนที่ตั้งความปรารถนาที่จะปราบพญามาร ให้หมดสิ้น
หนึ่งในบุคคลอันหาได้ยากยิ่งนั้น ท่านประดิษฐานอยู่ในเรือนทองข้างหน้าของพวกเรา ร่างเล็กๆ ของคุณยายอาจารย์ที่เก็บดวงใจอัน ยิ่งใหญ่นี้ไว้ เป็นเสมือนเมล็ดโพธิ์เล็กๆ ที่เก็บความยิ่งใหญ่ไว้ภายใน ทำอย่างไรเราจึงจะได้ติดตามสร้างบารมี อยู่ในวงบุญของท่านไปทุกภพทุกชาติ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเหตุที่ทำให้ เกิดความรักและความผูกพันไว้ ๒ ประการ
ประการแรก คือ ความเป็นผู้คุ้นเคยกัน มาในอดีต เคยอยู่ร่วมกันมา เคยสร้างความดี สร้างบุญร่วมกันมา
ประการที่ ๒ เคยเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ก็เป็นเหตุให้เกิดความรักและความผูกพันได้
ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาต พราหมณ์เฒ่าผู้หนึ่งได้เข้ามากอดพระบาทของพระองค์แล้วกล่าวว่า "ลูกไปไหนมาๆ" เรียกพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นลูก พระสาวกทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์อยู่ต่างก็ทราบว่าพระพุทธบิดาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองกบิลพัสดุ์ ไม่ใช่พราหมณ์เฒ่าผู้นี้ พราหมณ์ได้อาราธนาพระศาสดาเสด็จไปที่บ้าน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นเลิศ ก็เสด็จตามคำอาราธนาของพราหมณ์ เมื่อไปถึงบ้านแล้วพราหมณ์เรียกนางพราหมณีออกมา พบนางพราหมณีเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ร้องไห้ด้วยความปีติ แล้วก็กล่าวว่า "ลูกไปไหนมา ทำไมไม่มาดูพ่อกับแม่ที่ชราภาพมากแล้ว"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพราหมณ์ทั้งสอง จบพระธรรมเทศนาแล้ว พราหมณ์ทั้งสองก็ได้บรรลุธรรมเป็นอนาคามีบุคคล แล้วท่านก็ตรัสให้ภิกษุทั้งหลายผู้สงสัย ว่าเหตุไฉนพราหมณ์ทั้งสองนั้นจึงเรียกพระองค์ ว่าเป็นบุตร พราหมณ์ทั้งสองนี้เคยเกิดเป็นพ่อแม่ของพระองค์มาถึง ๕๐๐ ชาต เคยเกิดเป็นลุงป้าของพระองค์ในอดีตถึง ๕๐๐ ชาติ เคยเกิดอาเป็นน้า ๕๐๐ ชาติ พระองค์ตรัสว่า เราเจริญ เติบโตในมือของพราหมณ์ทั้งสองนี้ ตลอดต่อเนื่อง ๑,๕๐๐ ชาติไม่ขาดเลย ความรัก ความ ผูกพัน ความคุ้นเคย จึงทำให้พราหมณ์ทั้งสอง เรียกพระองค์ว่าเป็นบุตร
พวกเราทั้งหลาย มีโชคอันมหาศาลที่มีโอกาสมาสร้างบุญร่วมกับคุณยายอาจารย์ ตั้งแต่ท่านยังมีชีวิตอยู่ หลวงพ่อทัตตชีโวท่านเล่าให้ฟังว่า คุณยายเคยสอนเอาไว้ว่า ถ้ารักใครแล้วให้ชวนเขามาทำบุญโดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ ลุง ป้า น้า อา เพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็ขอให้ชวนเขามาทำบุญร่วมกัน ถ้าเราไม่ชวนเขามาทำบุญร่วมกัน ก็ไม่มีบุญที่จะผูกพันกัน ต่อไปก็จะเริ่ม ห่างกันไปเรื่อยๆ จากคืบเป็นศอก จากศอกเป็น วา จากวาเป็นโยชน์ แล้วก็ห่างกันไปเรื่อยๆ จึง เป็นโอกาสดีของพวกเราทั้งหลายที่มาร่วมบุญ กับคุณยาย
จะขอเล่าเรื่องของบุคคลหนึ่ง น่าเสียดายที่เขาไม่โชคดีอย่างพวกเรา บุคคลนั้น คือ กาฬเทวิลดาบส ครั้งเมื่อพระบรมโพธิสัตว์จุติ เข้าสู่พระครรภ์ของพระพุทธมารดา เมื่อท่านประสูติจากพระครรภ์ในครั้งนั้นกาฬเทวิลดาบส เป็นนักบวชประจำตระกูล และเป็นที่เคารพเลื่อมใสอย่างยิ่งของพระเจ้าสุทโธทนะและชาวเมือง
กาฬเทวิลดาบสนี้ได้สมาบัติ ๘ ทรงอภิญญา หลังจากฉันภัตตาหารแล้ว ท่านชอบไปพักที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ครั้งหนึ่งท่านเห็น เทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายสนุกสนานร่าเริง ยินดีเป็นพิเศษ ท่านก็เข้าไปถามเทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลายว่าร่าเริงยินดีด้วยเหตุอะไร เทพบุตรและเทพธิดากล่าวตอบว่า ขณะนี้พระบรมโพธิสัตว์ประสูติออกจากพระครรภ์ ของพระพุทธมารดาแล้ว อีกไม่นานจะได้มีโอกาสฟังธรรมจากพระบรมโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดีใจเหลือเกิน เมื่อฟังธรรมแล้วก็จะทราบหนทางแห่งความหลุดพ้นจากวัฏสงสาร
เมื่อกาฬเทวิลดาบสทราบดังนั้นก็เหาะลงมาเข้าไปสู่พระราชวัง หวังจะได้เห็นพระบรมโพธิสัตว์ พระเจ้าสุทโธทนะทรงจัดอาสนะให้กาฬเทวิลดาบสแล้ว ทรงนำพระบรมโพธิสัตว์มา เพื่อปรารถนาจะให้ไหว้พระดาบส เมื่อพาพระบรมโพธิสัตว์มาถึง แทนที่พระบรมโพธิสัตว์ จะไหว้พระดาบส พระบาททั้งสองของพระโพธิสัตว์กสับขึ้นไปประดิษฐานบนชฎาของพระดาบส พระดาบสเห็นเหตุการณ์นั้น ก็ระลึกชาติทราบ ว่ากุมารนี้ คือ พระบรมโพธิสัตว์ และระลึกไป ในอนาคตก็เห็นพระบรมโพธิสัตว์นี้จะได้ตรัสรู้ ธรรมเมื่ออายุ ๓๕ ปี จึงยิ้มแย้มด้วยความยินดี
จากนั้นก็ระลึกชาติต่อไปดูว่าตัวเองจะมีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาหรือไม่ ครั้นทราบว่า ตัวเองจะตายเสียก่อนแล้วไปเกิดในพรหมโลก ชั้นอรูปพรหม ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ไปแสดงธรรม ท่านก็ร้องไห้ด้วย ความเสียใจที่จะไม่มีโอกาสได้ทราบหนทางแห่งความหลุดพ้น
พระเจ้าสุทโธทนะรวมทั้งมหาอำมาตย์ทั้ง หลายเห็นพระดาบสหัวเราะแล้วร้องไห้ จึงเกิดความแปลกใจ ได้ถามพระดาบส ท่านก็บอก ว่าที่ท่านหัวเราะนั้น เป็นเพราะเห็นพระบรมโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึง เกิดความปีติยนดี ส่วนที่ร้องไห้เพราะท่านจะมีชีวิตอยู่ไม่ทันได้ฟังธรรม มัจจุมารจะมาพรากชีวิตไปเสียก่อน
แม้บุคคลที่ฝึกตัวมามาก แต่ไม่รู้หนทาง อันประเสริฐที่จะไปสู่ความหลุดพ้นก็เป็นที่น่าเสียดาย
อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมา หลวงพ่อธัมมชโยท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ท่านยังไม่ได้บวช ท่านเคยฝันว่าเห็นบ้านทรงไทยหลังหนึ่ง ท่านขึ้นไปบนบ้าน เห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่ง ที่ด้านหน้าพระพุทธรูปนั้นมีขันเงินใบหนึ่งวางอยู่ พระพุทธรูปก็บอกว่าให้ไปเปิดหน้าต่างออก ในฝันท่านก็เดินไปเปิดหน้าต่าง ทันทีที่เปิดหน้าต่างดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าก็ตกพรั่งพรูลงมาเป็นสาย เข้ามาทางหน้าต่าง แล้วลงมาที่ขันเงินนั้น มีบางส่วนที่พลัดไปตกที่คูป้าข้างบ้าน ท่านนำความฝันนี้มาเล่าให้คุณยายฟัง คุณยายก็ทำนายฝันว่า
"อีกหน่อยคุณจะได้บวช จะมีผู้มีบุญบารมีแก่ๆ ทั้งหลายมาร่วมสร้างบุญบารมีกับคุณ ดวงดาวที่ตกลงมาในขันก็คือผู้ที่มีบุญ ที่มาถึงคุณมาร่วมสร้างบารมีกับคุณ แต่บางส่วนเขาก็มาไม่ถึง"
เป็นความโชคดีของพวกเราทั้งหลายที่ได้ มาร่วมสร้างบารมีกับคุณยายอาจารย์ และหลวงพ่อ นี่คือพระคุณของคุณยาย ที่อาตมาประทับใจ ซึ่งหลวงพ่อธัมมชโยได้เคยกล่าวไว้เป็นประโยคสั้นๆ แต่มีความหมายมากมายว่า "ถ้าไม่มีคุณยาย ก็ไม่มีวัดพระธรรมกาย"
อาตมาอยากให้ทุกท่าน ได้หยุดพินิจพิจารณาว่า หาก ๓๐ ปีที่ผ่านมาไม่มีวัดพระธรรมกาย ขณะนี้เราจะอยู่ ณ จุดใดในการแสวงหาประโยชน์ของชีวิต เรากำลังแสวงหาประโยชน์ในชาตินี้ คือตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้ หรือ กำลังแสวงหาผลประโยชน์ในชาติหน้า คือ สั่งสมบุญกุศลเพื่อไปสู่สุคติหรือกำลังแสวงหาประโยชน์อย่างยิ่งคือ แสวงหาหนทางพระนิพพาน หรือจะปล่อยให้ชีวิตไหลไปตามกระแสโลก เกิดมาทำมาหากิน มีครอบครัวเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน แล้วก็จากโลกนี้ไปเหมือนนกกา
แต่ ณ วันนี้ เดี๋ยวนี้ พวกเราทั้งหลาย เป็นลูกหลานของคุณยาย อยู่ในวงบุญสร้างบารมีร่วมกับคุณยายอาจารย์
สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อาตมาประทับใจ และเป็นสิ่งที่ประคับประคองตัวเองมาได้จนถึงปัจจุบันด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ความโชคดี ของเราที่ครูที่มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ และเป็นโชค ดีของ เราที่ได้มาเป็นลูกหลานอยู่ในวงบุญของคุณยาย