หลวงพ่อครับ ทำไม่การคบเพื่อนชั่ว จึงจัดเป็นอบายมุขที่ร้ายแรงที่สุดครับ ? ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า การที่คนเราจะเป็นคนดี หรือเป็นคนชั่ว จะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ หรือไม่ได้ ตายแล้วจะไปนรก หรือไปสวรรค์ ย่อมขึ้นอยู่กับวินิจฉัยของคนผู้นั้น
ยกตัวอย่าง ผู้ที่มีวินิจฉัยผิดๆ ว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป พอมีความคิดอย่างนี้เข้า โอกาสที่จะคิดเรื่องดีๆ ชักยากเสียแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็จะคิดแต่เรื่องร้ายๆ พูดร้ายๆ ทำร้ายๆ จึงทำให้ใจขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา
เมื่อใจขุ่นมัวตลอดเวลา ชาตินี้ขณะมีชีวิตอยู่ ก็คงจะมีแต่เรื่องร้อนๆ ไหลเข้ามาหาตัวอย่างไม่ขาดสาย ถ้าหากละโลกไปในขณะที่ใจขุ่นมัว เขาย่อมมีนรก เป็นที่ไปแน่นอน เพราะฉะนั้นในเรื่องวินิจฉัยของคนว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรผิด อะไรถูก อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป เราต้องวินิจฉัยให้ถูกให้ได้ ถ้าวินิจฉัยผิดละก็ ชาตินี้คงเอาดีไม่ได้
ส่วนที่เรียกว่า "เพื่อนชั่ว หรือ" มิตรชั่ว" นั้น หมายถึง เพื่อนที่มีวินิจฉัยเสีย เช่น มีความเห็นผิดว่า ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไปเป็นต้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า ห้ามคบมิตรชั่ว ซึ่งบางทีทรงใช้คำว่า "มิตรพาล" หรือว่า "คนพาล" เพราะถ้าหากไปคบกับเพื่อนประเภทนี้เข้า เราก็จะติดนิสัยไม่ดี ติดวินิจฉัยเสียๆ มาจากเขา จากนั้นเราก็คิดร้ายๆ พูดร้ายๆ ทำร้ายๆ ตามเขาไปด้วย พระพุทธองค์จึงทรงสั่งนักสั่งหนาว่า ถ้าอยากจะให้ชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง บันไดชีวิตขั้นแรกของมนุษย์คือ ห้ามคบคนชั่วเป็นมิตรเด็ดขาด
เมื่อใครไปคบคนชั่วเป็นมิตร ความเป็นมนุษย์ของเขาก็จะสิ้นสุดลง แล้วความเป็นสัตว์ ความเป็นเปรต ความเสื่อมเสียต่างๆ นานา จะไหลเข้ามาแทนที่ อนาคตของเขาย่อมมืดมนอย่างแน่นอน ยกตัวอย่าง คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบอกเลยว่า มีแหล่งเที่ยวกลางคืนอยู่ที่ไหนบ้าง แต่เจ้าเพื่อนตัวดีกลับบอกเราหมด แถมยังอาสาพาไป ดีไม่ดีออกเงินให้ก่อนอีกด้วย คืออ่อยเหยื่อไว้ก่อน แล้ววันหลังเราก็ต้องไปออกเงินให้เขาบ้าง
แหล่งเลวร้าย หรืออบายมุขทั้งหลายในโลกนี้ จึงมีเพื่อนชั่วเป็นต้นเหตุ
เพราะฉะนั้น นอกจากจะสอนลูกหลานให้รู้จักเลือกคบแต่คนดีแล้ว ยังต้องสอนอีกด้วยว่า วิธีที่จะดูว่าใครเป็นคนชั่ว ใครเป็นคนดีนั้น เขาดูกันอย่างไร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราตรัสเอาไว้ว่า คนชั่ว คือ คนที่ชอบคิดชั่ว ชอบพูดชั่ว ชอบทำชั่ว เป็นปกติ ส่วนคนดี คือ คนที่ชอบคิดดี ชอบพูดดี ชอบทำดี เป็นปกติ
ในชีวิตประจำวันของเราเมื่อเอาเข้าจริงๆ ปรากฏว่า เพื่อนที่เราคบอยู่แต่ละคนนั้น ในตัวของเขายังมีความชั่วบางอย่างอยู่ แต่ว่าไม่มากนัก เพราะถ้าเป็นคนเลวขนาดที่เห็นได้อย่างชัดเจน เราก็คงจะหนีออกห่างได้ทัน
ที่หนีออกห่างไม่ทัน เพราะว่าเป็นประเภทกึ่งดีกึ่งเลว ซึ่งเพื่อนประเภทนี้นี่เองที่จะกลายเป็นพาหะ เหมือนอย่างกับนกที่บินไปบินมาในอากาศ ไม่ว่าจะเป็นนกกระจอก นกพิราบ หรือนกอะไรก็ตาม เป็นตัวพาหะพาเชื้อไข้หวัดนกไปยังเล้าเป็ดเล้าไก่ ทำให้เป็ดไก่เหล่านั้นติดโรค ไข้หวัดนก จนต้องล้มตายลงเป็นจำนวนมาก
เพื่อนที่กึ่งดีกึ่งเลว มีเชื้อพาล มีเชื้อชั่วอยู่ก็เหมือนกัน เรามักจะดูไม่ออก แล้วบางทียังมาในรูปของความหวังดีเสียอีก ยกตัวอย่าง พอเห็นเราทำงานเครียดๆ ก็เข้ามาชวนไปดื่มเหล้าเพื่อคลายเครียด ทั้งที่ตามธรรมดาตัวเขาเองก็ไม่ค่อยดื่มเท่าไร เวลาที่เราเกิดความเครียดขึ้นมามากๆ อาจทำให้พลาดไปกับเขาได้
เขาจะเข้ามาหาด้วยความคุ้นเคย แล้วดึงเราให้ตกต่ำจนกระทั่งเงยหัวไม่ขึ้น ไม่มีเวลาที่จะคิดหาทางแก้ไขตัวเองได้ เพราะฉะนั้นตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลมได้แหละดี เพื่อนคนไหนที่เราเห็นว่า เขาทำสิ่งไม่ถูกไม่ควร เช่น ไปจมอยู่ในอบายมุข ไม่ว่าจะจมอยู่ในวงเหล้า วงการพนัน ชอบเที่ยวกลางคืน หรือใช้เวลาไม่เหมาะไม่สมต่างๆ นานา พอเห็นแววอย่างนี้ รีบห่างๆ เสียก็แล้วกัน
ที่ใช้คำว่าห่างๆ เพราะบางทีรับราชการอยู่ด้วยกัน หรือทำงานบริษัทเดียวกัน ห้องทำงานก็ห้องเดียวกัน ไม่รู้จะหนีไปที่ไหน ก็คงได้แต่คอยระวังเนื้อระวังตัวให้ดี อย่าไปสนิทสนมคุ้นเคยกับเขา ถ้ายังพอเตือนกันได้ รีบไปเตือนให้เขาเลิกเสีย แต่ไปเตือนนะ ไม่ใช่ไปตาม แล้วคุณจะเป็นคนที่โชคดี