ปัจจุบันมีการถกเถียงกันมาก ในเรื่องการนำธุรกิจที่เป็นอบายมุขเข้าตลาดหลักทรัพย์ จนทำให้ประชาชนเกิดความสับสน ระหว่างเรื่องของเศรษฐกิจกับเรื่องของศีลธรรม ในฐานะที่ประเทศไทยของเราเป็นเมืองพุทธ ขอความเมตตาหลวงพ่อช่วยให้ข้อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยเจ้าค่ะ?
ในเรื่องของเศรษฐกิจกับเรื่องของจิตใจนั้น ๒ อย่างนี้ ต้องให้ควบคู่กันไปเสมอคือ เศรษฐกิจต้องดี และจิตใจก็ต้องสมบูรณ์ ด้วยศีล ด้วยธรรม
ถ้าจะเอาเศรษฐกิจนำหน้า โดยไม่คำนึงถึงจิตใจ ก็เท่ากับบอกว่า ความร่ำรวยสามารถช่วยให้เป็นคนดีได้ ในเวลาเดียวกัน คนดีที่ยากจนขัดสน ก็ไม่สามารถจะรักษาความดีของตนเอาไว้ได้
แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นคนรวย หรือเป็นคนจนก็ตาม ถ้าไม่มีศีลธรรมอยู่ในใจแล้ว เขาก็พร้อมที่จะทำความเลวด้วยกันทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น เราต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า "อบายมุข" กันเสียก่อน
อบาย แปลว่า ปราศจากความเจริญ หรือว่า ความฉิบหาย
มุข แปลว่า ด้านหน้า หรือว่า ปากทาง
อบายมุข จึงแปลว่า ปากทางแห่งความฉิบหาย คือ เรามองตัวของมันไม่เห็น ว่าฉิบหายขนาดไหน แต่เรารู้ว่า มันเป็นปากทางแห่งความฉิบหาย
เหมือนอย่างคุกที่เขาใช้ขังนักโทษ ในคุก มีความโหดร้ายอย่างไรเราไม่เห็น เราเห็นแต่ว่า ที่ปากทางเข้าคุกนั้น มีคนเดินเข้า คนเดินออก จนเลื่อมเลย
ปากทางเข้าคุกที่เราเห็น ช่างเตียนดีเหลือเกิน เพราะฉะนั้นในคุกก็ไม่น่าจะมีอะไร ที่จะทำให้ผู้ที่เข้าไปอยู่ในนั้นต้องเดือดร้อน
ปากทางเข้าคุกเตียนอย่างไร อบายมุข ซึ่งเป็นปากทางแห่งความฉิบหาย ก็น่าชื่นชม น่าจะย่างกรายเข้าไปอย่างนั้น
สำหรับเรื่องอบายมุขนี้ จริงๆ แล้ว พระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงขยายมาจากศีลข้อที่ ๕ คือ ห้ามเสพสุรายาเสพติด ขยายจากศีล ๑ ข้อ กลายมาเป็นอบายมุข ๖ ประการ คือ
๑. การเสพน้ำเมา
ไม่ว่าจะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ต่างๆ หรือยาเสพติดก็ตาม สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้คนเราเมาได้ทั้งนั้น
เมื่อใครไปแตะต้องสุรายาเสพติดเข้า นอกจากจะทำให้เมา ทำให้เสียทรัพย์สินเงินทอง ทำให้เสียสุขภาพแล้ว ที่สำคัญยังทำให้เสียสติอีกด้วย
มนุษย์ถ้าลองได้ขาดสติเมื่อไร ลูกก็ฆ่าพ่อแม่ได้ พี่น้องก็ฆ่ากันเองได้ สามีภรรยาฆ่ากันได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งคนก็ฆ่าพระได้ หรือถ้าพระเกิดไปเมาเข้า ก็ฆ่าคนได้อีกเช่นกัน
สติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษยทั้งหลาย ในการที่จะทรงความดีเอาไว้ เมื่อขาดสติ คุณความดีต่างๆ ก็ขาดไปด้วย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะมีทรัพย์มากมายเท่าไร สิ่งที่คุณต้องสูญเสียไปจากการเสพสิ่งเหล่านี้ก็คือ สติ แล้วยังจะเป็นทางมาแห่งความเสียคนต่อไปด้วย
๒. การเที่ยวกลางคืน
เมื่อเสพน้ำเมาจนกระทั่งขาดสติแล้ว ก็จะออกเที่ยวไปในที่ไม่ควรเที่ยว ซึ่งแหล่งที่จะพากันไป ส่วนมากมักจะเป็นแหล่งที่ท่านใช้คำว่า "สถานที่ไม่ควรไป" เช่น แหล่งที่มีการมั่วสุมทางเพศ เป็นต้น
เมื่อไปในสถานที่อย่างนั้น ก็จะทำให้เสียคนเพิ่มขึ้น เสียทรัพย์เพิ่มขึ้น แล้วจะต้องพบกับความฉิบหายอีกเท่าไร คงไม่ต้องอธิบาย
๓. การเที่ยวดูมหรสพ
นอกจากหาเรื่องไปมัวเมาในเรื่องเพศเรื่องกามแล้ว สิ่งที่จะตามมาอีกก็คือ การไปหมกมุ่นในมหรสพต่างๆ
จะเห็นว่า อบายมุขทั้ง ๓ ประการนี้ มีความเกี่ยวพันต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ทีเดียว แล้วยังทำให้ถูกผลาญทรัพย์ ผลาญสติ ผลาญความดี ไปตามลำดับๆ จนในที่สุดความเสียหายทางเศรษฐกิจก็ตามมา เนื่องจากอบายมุขทั้ง ๓ ประการนี้ ถมเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักเต็ม
๔. การเล่นพนัน
เมื่อถมเท่าไรไม่รู้จักเต็มอย่างนี้ จึงต้องหาทางชดเชยทางเศรษฐกิจที่เสียไปให้ได้ ส่วนวิธีที่จะชดเชยเศรษฐกิจนั้น ถ้าคอรัปชั่นไม่ได้ โกงไม่ได้ การเล่นพนันแต่ละรูปแบบจะตามมา
เพราะฉะนั้น เป้าหมายของการเล่นพนันที่แท้จริงก็คือ การชดเชยทางเศรษฐกิจ หรือว่าต้องการหาเงินมาใช้ล้างผลาญให้ได้เร็วที่สุดนั่นเอง
สำหรับผู้ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการพนันคงจะรู้ดีว่า การเล่นพนันนั้น บางครั้งก็ได้ บางครั้งก็เสีย ที่หวังว่าจะได้ทุกครั้ง ย่อมเป็นไปไม่ได้ และมักจะเสียมากกว่าได้อีกด้วย
๕. การคบมิตรชั่ว
เมื่อเล่นการพนันแล้วเสียมากกว่าได้ ในขณะเดียวกันก็ต้องการจะทำให้เศรษฐกิจกลับ คืนมาดีเหมือนเดิม เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องหาทางที่จะทำให้เล่นพนันได้ทุกครั้ง ก็เลยไปคบคนชั่วเป็นมิตร
พูดง่ายๆ ก็คือ ตั้งกลุ่มมาเฟียขึ้นมา โดยการเอาคนชั่วทั้งหลายมารวมกลุ่มกัน เพื่อจะได้ช่วยกันหาเงินให้ได้มากๆ ทำให้มีรายได้ที่เป็น กอบเป็นกำขึ้นมา จะได้ชดเชยเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ได้คำนึงว่า จะได้เงินนั้นมาจากทางใด
๖. ความเกียจคร้านทำการงาน
เมื่อเอาคนชั่วมาอยู่รวมกันมากๆ ความเกียจคร้านในการทำมาหากินก็จะเกิดขึ้น แต่เมื่อยังต้องกิน ต้องใช้ ก็เลยไม่ขี้เกียจที่จะทำความชั่ว เพื่อจะได้มีเงินมากิน มาใช้ถล่มทลายในวงการอบายมุขมากๆ
นี่คือวงจรอุบาทว์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ของอบายมุขทั้ง ๖ ประการ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทรงตระหนักดีว่า ความฉิบหายของเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจส่วนตัว หรือเศรษฐกิจของชาวโลกก็ตาม ล้วนเริ่มมาจากอบายมุขทั้งสิ้น โดยขั้นตอนแรกทำให้เผลอสติ สิ่งที่ทำให้เผลอสติก็คือ สุราและยาเสพติด
เพราะฉะนั้น การจะทำลายวงจรอุบาทว์ของอบายมุข ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการห้ามเสพสุรายาเมา และสิ่งเสพติดทุกชนิด ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ
เมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าอยากจะเห็นดัชนีทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น มีเศรษฐกิจดี แต่บ้านเมืองต้องวุ่นวาย เพราะมีแต่คนเลวๆ ที่ตายแล้วก็ยังต้องไปนรก ได้รับความทุกข์ทรมานกันอีกมากมาย ก็ให้เอาธุรกิจที่เป็นอบายมุขเข้าตลาดหลักทรัพย์
แต่ถ้าคิดว่าเศรษฐกิจจะดีได้ โดยไม่ต้องทำให้คนเลว และคนทั้งชาติ ไม่ว่าจะเป็นเยาวชน พ่อแม่ หรือลูกหลานของเรา เป็นคนดี ก็ตัดอบายมุขทั้ง ๖ ประการนั้นทิ้งไปให้หมด แล้วมาช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินแทน
แม้ในปัจจุบัน เศรษฐกิจของประเทศไทยอาจจะไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าถ้าจิตใจของคนในชาติดีงาม บ้านเมืองก็สงบสุข และยังมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะเจริญมาขึ้นได้ แต่ถ้าเศรษฐกิจดีกว่านี้ แล้วศีลธรรมกลับแย่ลง บ้านเมืองของเราคงอยู่ไม่ได้แน่นอน
เพราะฉะนั้น ท่านที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจของชาติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ เกี่ยวกับกระทรวงการคลัง หรือเกี่ยวกับการป้องกันและควบคุมอบายมุขก็ตาม ขอให้กลับไปพิจารณากันให้ดี โดยคำนึงถึงจิตใจ คำนึงถึงศีลธรรมให้มาก ว่าเรื่องของเศรษฐกิจกับเรื่องของจิตใจนั้น ต้องให้ควบคู่ไปด้วยกัน อย่าปล่อยให้อบายมุขระบาด จนกระทั่งประเทศชาติของเรา ต้องฉิบหายไปต่อหน้าต่อตาเลย