สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นไปตามอำนาจแห่งบุญและบาป ที่ได้กระทำเอาไว้ในภพชาตินั้นๆ รวมไปถึงภพชาติในอดีต ถ้าทำบุญไว้มาก ก็จะได้รับผลที่ดี มีสุขอยู่ในสุคติภูมิ ชีวิตต่อไปก็จะประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง ถ้าทำบาปอกุศลไว้มาก ก็ต้องไปเสวยวิบากกรรมอันทุกข์ทรมานในอบายภูมิ ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ต้องสร้างบารมี เพิ่มพูนความบริสุทธิ์ให้กับตัวเองทุกๆวัน
ส่วนวิธีที่จะทำความบริสุทธิ์ให้กับตัวเองได้ดีที่สุดก็คือ ต้องหมั่นปฏิบัติธรรม อย่าให้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว หมั่นทำใจหยุด ใจนิ่งบ่อยๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งเป็นปกตินิสัย ชีวิตของเราก็จะสำเร็จ สมหวังโดยง่ายดาย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ ในกุณฑธานเถระ ประธานที่ ๑ ความว่า
“เธออย่าได้กล่าวคำหยาบกับใครๆ ผู้ที่เธอกล่าวแล้ว พึงกล่าวตอบเธอ เพราะว่าถ้อยคำแข่งดีให้เกิดทุกข์ อาชญาตอบพึงถูกต้องเธอ ถ้าเธอไม่ยังตนให้หวั่นไหวดุจกังสดาล ถูกขจัดแล้ว เธอจักเป็นผู้ถึงพระนิพพาน ความแข่งดีย่อมไม่มีแก่เธอ”
การทำใจของเราให้อยู่ในภาวะปกติเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เพราะสภาวะใจที่ไม่หวั่นไหวในคำนินทาหรือสรรเสริญ เป็นใจที่เหมาะสมที่จะรองรับอริยธรรมเบื้องสูง
ทุกๆชีวิตทีเกิดมาในโลกนี้ มีบุญเก่าในอดีต ที่คอยสนับสนุนเกื้อกูลอยู่ แม้ว่าเราจะมีบุญเก่าคอยค้ำจุนเพียงไรก็ตาม แต่บุญใหม่ในภพชาติปัจจุบันก็มีส่วนสำคัญยิ่ง เพราการกระทำที่ดีในภพปัจจุบัน และผลบุญในอดีตจะคอยเกื้อกูล จะส่งผลให้เราได้บรรลุเป้าหมายได้ ในที่สุด
และคถาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ในเบื้องต้นนี้ ท่านได้ตรัสเตือนสติพระเถระรูปหนึ่ง ที่ไม่สามารถอดทนต่อคำว่ากล่าวของเพื่อนสหธรรมิก โดยไม่รู้ถึงเบื้องหลังชีวิตของตนเอง เพราะในอดีตท่านได้สร้างทั้งบุญและบาปเอาไว้
เมื่อย้อนกลับไปในกาลของพระปทุมุตรพุทธเจ้า พระเถระนี้ได้เกิดในเรือนมีตระกูล ในนครหังสวดี ท่านได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็นภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระบรมศาสดา ทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งภิกษุผู้เลิศแห่งภิกษุผู้จับสลากก่อน จึงปรารถนาตำแหน่งนั้น
วันหนึ่ง ท่านได้น้อมถวายเครือกล้วยใหญ่สีเหลือง เหมือนจุณแห่งมโนศิลา แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับเครือกล้วยนั้นแล้วเสวย ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านเสวยราชสมบัติอันเป็นทิพย์
ดำรงตำแหน่งท้าวสักกะถึง ๑๑ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๔ ครั้ง และได้ใช้บุญต่อบุญ สมบัติต่อสมบัติ สร้างบารมีเรื่อยมา ได้ท่องเที่ยงอยู่ในสองภพภูมิ คือเทวโลกและมนุษยโลก
ต่อมาในกาลของพระพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ท่านได้เกิดเป็นภุมมเทวา ในภพชาตินั้นท่านได้สร้างความผิดพลาดอันใหญ่หลวง คือได้สร้างบาปอกุศลอย่างหนึ่งเอาไว้ ท่านได้ยุยงเพื่อนภิกษุที่รักกันให้ทะเลาะกัน มีอยู่วันหนึ่งเป็นวันพระ ภิกษุผู้เป็นสหายรักกันสองรูป เดินทางไปด้วยกัน คิดว่าจะไปลงอุโบสก
ภุมมเทวาก็คิดว่าภิกษุสองรูปนี้ รักกันแน่นแฟ้นเหลือเกิน ถ้าหากลองทดสอบดูจะแตกคอกันไหม ในระหว่างทางพระเถระรูปหนึ่งให้พระเถระอีกรูปหนึ่งช่วยถือบาตรและจีวรแล้วเดินไปทำธุระส่วนตัว เสร็จแล้วก็ออกมาจากพุ่มไม้
ภุมมเทวาตอนนี้ก็แปลงเพศเป็นหญิงรูปงาม ทำเป็นสยายผมและเกล้าใหม่ ปัดฝุ่นออกจากข้างหลัง แล้วขยันผ้านุ่มห่มที่หลุดลุ่ย แล้วเดินตามหลังพระเถระที่ออกมาจากพุ่มไม้
พระเถระผู้เป็นสหาย เห็นเหตุการณ์จำแลงนั้น ก็เกิดความเข้าใจผิด คิดว่าสหายทำในสิ่งอนาจาร จึงเลิกคบกัน และเกิดการระแวงในศีลของสหาย ไม่ปรารถนาจะร่วมอุโบสถด้วย
ภุมมเทวารู้สึกผิด จึงเข้าไปชี้แจงท่านทั้งสองกลับมาปรองดองกันเหมือนเดิม ด้วยกรรมนั้น ส่งผลให้ท่านต้องตกนรกตลอด ๑ พุทธันดร
ต่อมาในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ท่านได้เกิดในสกุลพราหมณ์ ในนครสาวัตถี มีชื่อว่า ธานมาณพ เมื่อธานมาณพเจริญวัยแล้ว ได้ฟังธรรมของพระบรมศาสดา ก็มีศรัทธาออกบวช
เพียงวันแรกที่ออกบวชก็มีภาพของผู้หญิงเดินตามหลังท่าน ภิกษุสามเณรก็พากันพูดเยาะเย้ยว่าเพราธานมาณพมีเสนียดติดตัวมาด้วย ท่านจึงเกิดมีนามเพิ่มว่า กุณฑธานเถระ ด้วยเหตุนั้นเอง
ท่านพยายามอดกลั้นความโกรธ แต่ก็ไม่สามารถจะระงับอารมณ์ไว้ได้ จึงพูดว่า พวกท่านสิเป็นตัวเสนียด อุปัชฌาจารย์ของพวกท่านก็เป็นตัวเสนียด
ภิกษุทั้งหลายจึงไปกราบทูลต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระกุณฑธานะกล่าวคำหยาบคายต่อภิกษุสามเณรทั้งหลาย พระบรมศาสดารับสั่งให้เรียกท่านมา และตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุ เธอไม่สามารถจะพ้นจากกรรมที่เธอได้ทำไว้ในอดีต เธอจงทำใจให้เป็นปกติ ตั้งใจปฏิบัติธรรมเถิด ถ้าเธอไม่ยังตนให้หวั่นไหว ดุจกังสดาลที่ถูกขจัดแล้ว เธอจักเป็นผู้ถึงพระนิพพาน ความแข่งดีย่อมไม่มีกับเธอ”
ท่านก็ดำรงอยู่ในโอวาสของพระบรมศาสดา ตั้งใจเจริญวิปัสสนา จึงได้บรรลุพระอาหัตผล ตั้งแต่นั้น รูปหญิงนั้นก็หายไป นี่คือเบื้องหลังกรรมเก่าของพระเถระ
ฉะนั้น บุญหรือบาปในอดีตของท่านก็ไม่ได้สูญหายไปไหน ความปรารถนาที่ตั้งไว้ในครั้งสร้างบุญกับพระปทุมุตรพุทธเจ้า ก็ยังคงอยู่
มีอยู่วันหนึ่ง มหาสุภัททาอุบาสิกกา อยู่ในเรือนแห่งตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ ในอุคคนคร ได้อธิษฐานอุโบสถ
และอธิษฐานว่า ขอดอกไม้เหล่านี้จงตั้งเป็นเพดานเบื้อบน พระทศพล ด้วยสัญญานี้ ขอพระทศพลจงรับภิกษาของเรา พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป ในวันรุ่งขึ้น
แล้วก็ซัดดอกมะลิไป ๘ กำ ดอกมะลิได้ลอยไปแล้วตั้งเป็นเพดาน ณ เบื้องบนของพระบรมศาสดา
ในเวลาที่พระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา พระบรมศาสดาทอดพระเนตร เห็นเพดานดอกมะลินั้นแล้ว ก็ทรงทราบเจตนาของเธอ จึงทรงรับนิมนต์ ในวันรุ่งขึ้น จึงตรัสกับพระอานนทเถระว่า “ดูก่อนอานนท์ วันนี้เราจะไปภิกขาจารในที่ไกล เธออย่าให้สลากแก่ภิกษุที่เป็นปุถุชน จงให้สลากแก่ภิกษุที่เป็นพระอารยะเท่านั้น”
พระเถระแจ้งความนี้แก่ภิกษุทั้งหลายว่า “อาวุโสทั้งหลาย วันนี้พระบรมศาสดาจะเสด็จภิกขาจารในที่ไกล ภิกษุที่เป็นปุถุชนอย่ารับสลาก ภิกษุที่เป็นอารยะเท่านั้นจงรับสลาก”
พระกุณฑธานเถระท่านก็เหยียดมือออกไปก่อนทีเดียว โดยพูดว่า “อาวุโสท่านจงนำสลากมา” พระอานนท์กล่าวว่า “พระบรมศาสดา ไม่ตรัสสั่งให้สลากแก่ภิกษุเช่นท่าน ตรัสสั่งให้แก่ภิกาะที่เป็นพระอริยะเท่านั้น”
ดังนี้แล้วเกิดบริวิตก เลยกราบทูลพระบรมศาสดา พระบรมศาสดาตรัสว่า “จงให้สลากแก่ผู้ที่ขอเถิด" พระเถระคิดว่า การให้สลากไม่ควรให้แก่พระกุณฑธานเถระ เมื่อเป็นเช่นนั้น พระบรมศาสดาควรห้ามไว้ ในเรื่องนั้น ชะลอยจะมีเหตุ
จึงย้อนกลับไปด้วยคิดว่า เราจะให้สลากแก่พระกุณฑธานก่อนที่พระอานนท์จะมาถึงเท่านั้น พระกุณฑธานก็เข้าฌาน จนสำเร็จอภิญญาสมาบัติ ได้ยืนอยู่ในอากาศด้วยฤทธิ์
กล่าวว่า “อาวุโสอานนท์ พระบรมศาสดาทรงรู้จักเรา พระบรมศาสดาไม่ทรงห้ามภิกษุเช่นเรา ผู้จับสลากก่อน”ดังนี้แล้วจึงยื่นมือไปจับสลาก พระบรมศาสดาทรงทราบความปรารถนาของท่านในกาลก่อน ต้องการจะประกาศคุณของพระเถระ จึงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้จับสลากก่อน
พระเถระได้บรรลุอรหันตผล ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่ท่านได้ ถวายกล้วยกับพระผู้มีพระภาคเจ้าในอดีต ภิกษุที่เป็นปุถุชนเกิดความสงสัย
พระเถระจึงเหาะขึ้นไปในอากาศ แล้วแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ พร้อมกับประกาศผลแห่งบุญที่ตนเองได้สร้างเอาไว้ในอดีต ทำให้ทุกๆคนรับทราบความเป็นจริงว่า ที่ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนี้เพราะเบื้องหลังในอดีตที่สร้างบุญเอาไว้แล้ว
เพราะฉะนั้นบุญจึงเป็นเบื้องหลังความสุขและความสำเร็จทุกอย่างในชีวิต ทุกๆชีวิตต่างก็มีฉากหลังคอยบงการอยู่ ถ้าชีวิตใครมีบุญมาก เป็นผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณงามความดี ก็จะมีบุญหนุนส่งคอยอำนวยให้เกิดประโยชน์สุขในชีวิต ทั้งในภพนี้และภพหน้า หากเผลอไปก่อบาปอกุศลเข้าก็หนีไม่พ้นที่จะต้องมาชดใช้กรรมที่ได้ทำเอาไว้
เมื่อเราทราบอย่างนี้แล้ว ก็ควรที่จะทำชีวิตของเราให้เต็มเปี่ยมไปด้วยบุญกุศล ด้วยความดีงาม ทำเบื้องหลังของชีวิตเราให้มีแต่บุญกุศลล้วนๆ เมื่อย้อนระลึกชาติหนหลังกลับไปจะได้เกิดมหาปิติ ไม่ต้องพบเจอภาพที่ไม่ดี ฉะนั้นทำชีวิตเราให้บริสุทธิ์ ด้วยการสร้างบุญกุศล สร้างบารมีกันให้เต็มที่