ธรรมะเพื่อประชาชน พร้อมภาพประกอบ คติธรรม ข้อคิดสอนใจ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านทั้งหลายอย่ากลัวต่อบุญเลย เพราะคำว่าบุญนี้เป็นชื่อของความสุข ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราย่อมรู้ชัดผลแห่งบุญอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ที่เราเสวยแล้วตลอดกาลนาน

ชาดก : ธรรมะเพื่อประชาชน Dhamma for peopleรวมนิทานอีสปพร้อมภาพประกอบ  ข้อคิดสอนใจ

ธรรมะเพื่อประชาชน : ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งที่ ๖ สัจจก-นิครนถ์ (๑)


ธรรมะเพื่อประชาชน : ชัยชนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้งที่ ๖ สัจจก-นิครนถ์ (๑)

Dhamma for people
ธรรมะเพื่อประชาชน

 

DhammaPP104_01.jpg

ชัยชนะครั้งที่ ๖ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 

(ตอนที่ ๑ ชนะสัจจกนิครนถ์)

                พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลผู้เลิศทั้งพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ จะหาบุคคลใดๆ ในภพทั้งสาม มาเสมอเหมือนหรือยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธญาณลึกซึ้งกว้างไกล ทรงรู้แจ้งโลกและแทงตลอด ทั้งนิพพาน ภพสาม โลกันต์ แม้พระพุทธเจ้าจะพรรณนาพระคุณของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ยังไม่อาจพรรณนาได้หมดสิ้น เพราะพระคุณของพระพุทธเจ้าไม่มีประมาณ เป็นอจินไตย อนันตจักรวาลก็ยังแคบเกินไปที่จะพรรณนาพระคุณของพระพุทธองค์ เราจะซาบซึ้งต่อเมื่อ ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างจริงจัง โดยลงมือปฏิบัติตามคำสอนให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน แล้วเราจะเข้าใจได้แจ่มแจ้ง

 

 

DhammaPP104_05.jpg

                        มีบทสรรเสริญชัยมงคลคาถา บทที่ ๖ ว่า

 

                        “สจฺจํ วิหาย มติสจฺจกวาทเกตุ
                         วาทาภิโรปิตมนํ อติอนฺธภูตํ
                         ปญฺญาปทีปชลิโต ชิตวา มุนินฺโท
                         ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ

 

                พระจอมมุนีทรงรุ่งเรืองด้วยประทีปคือปัญญา ได้ทรงชนะสัจจก-นิครนถ์ผู้เป็นคนมืดบอด มีอัธยาศัยไม่ยอมรับความจริง มีใจคิดแต่จะยกตนข่ม ด้วยเดชแห่งพุทธชัยมงคลนั้น ขอชัยมงคลทั้งหลายจงมีแก่ท่าน”

 

 

DhammaPP104_02.jpg

               เรื่องของพระพุทธเจ้าที่ทรงมีชัยชนะต่อสัจจกนิครนถ์นี้ เป็นหนึ่งในพุทธชัยมงคล เพราะเป็นชัยชนะที่ประเสริฐ โดยอาศัยพุทธปัญญาที่ไม่มีใครเสมอเหมือน แม้สัจจกนิครนถ์ที่ชาวเมืองต่างนับถือว่า เป็นผู้มีปัญญามาก ยังต้องยอมรับในพระสัพพัญญุตญาณของพระองค์ ในเรื่องนี้ท่านกล่าวไว้ ๒ สูตรด้วยกัน คือ มหาสัจจกสูตรและจูฬสัจจกสูตร ในที่นี้หลวงพ่อจะขอนำเสนอจูฬสัจจกสูตรก่อน เรื่องมีอยู่ว่า

 

DhammaPP104_06.jpg

                *สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารป่ามหาวัน เขตเมืองเวสาลี เป็นลูกชายของนิครนถ์อาศัยอยู่ที่เมืองเวสาลี เป็นนักโต้วาที พูดยกตนว่าเป็นนักปราชญ์ มหาชนต่างยกย่องว่า เป็นผู้รอบรู้เพราะเป็นอาจารย์สอนศิลปวิทยาให้กับพระกุมารของเจ้าลิจฉวี เนื่องจากทะนงตนว่าเป็นผู้มีความรู้มาก จึงเอาแผ่นเหล็กรัดท้องไว้ เกรงว่าท้องจะแตก เพราะคิดว่าภายในท้องของตนเป็นที่เก็บความรู้ไว้

 

 

DhammaPP104_07.jpg

                วันหนึ่งสัจจกนิครนถ์กล่าวในที่ประชุมว่า “เราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์ที่เป็นเจ้าหมู่คณะ เป็นคณาจารย์ แม้ที่ปฏิญาณตนว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่โต้ตอบปัญหากับเราแล้วจะไม่ประหม่า ไม่สะทกสะท้าน ไม่หวั่นไหว แม้แต่ผู้เดียว หากเราโต้วาทะกับเสาที่ไม่มีจิตใจ แม้เสานั้นก็ถึงอาการหวั่นไหว จะป่วยกล่าวไปไยกับมนุษย์ทั่วไป”

 

DhammaPP104_08.jpg

                จะเห็นว่า เพียงความคิดเท่านี้ก็รู้แล้วว่า สัจจกนิครนถ์เป็นผู้ทะนงตนและมีมานะถือตัวมาก ยากที่จะมีใครมาปรามได้ วันหนึ่ง สัจจกนิครนถ์พร้อมด้วยเจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐ ได้เข้าไปกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน

 

 

DhammaPP104_09.jpg

        พบพระอัสสชิเถระ กำลังเดินบิณฑบาตในเมืองเวสาลี จึงเข้าไปหาพลางถามว่า “ท่านอัสสชิผู้เจริญ ก็พระสมณโคดมแนะนำสาวกอย่างไร และคำสั่งสอนของพระสมณโคดม เน้นไปในเรื่องใดมาก”

 

 

DhammaPP104_11.jpg

                พระอัสสชิตอบว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำสาวกทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตน เวทนาไม่ใช่ตน สัญญาไม่ใช่ตน สังขารไม่ใช่ตน วิญญาณไม่ใช่ตน สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตน ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน ดูก่อนอัคคิเวสสนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำสาวกทั้งหลายเช่นนี้ และคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าเน้นเรื่องนี้กับสาวกทั้งหลาย”

 

 

DhammaPP104_10.jpg

                สัจจกนิครนถ์ฟังแล้วไม่คล้อยตาม กล่าวว่า “ดูก่อนท่านอัสสชิผู้เจริญ ข้าพเจ้าฟังวาทะของพระสมณโคดมเช่นนี้แล้ว เห็นทีจะต้องเจรจากันสักหน่อย ถ้าอย่างนั้น ข้าพเจ้าจะไปพบกับพระสมณโคดมผู้เจริญด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง จะได้สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แล้วข้าพเจ้าจะได้ช่วยปลดเปลื้องพระสมณโคดม จากความเห็นผิดนั้นเสีย” จากนั้นได้เดินทาง เพื่อจะไปโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคเจ้า  เมื่อไปถึงพระอาราม ก็เที่ยวถามหาพระพุทธองค์ว่า ประทับอยู่ที่ไหน  เมื่อรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปป่ามหาวัน ประทับพักกลางวันที่โคนไม้ จึงชักชวนเจ้าลิจฉวีจำนวนมากไปป่ามหาวัน 

 

 

DhammaPP104_13.jpg

                เมื่อพบพระผู้มีพระภาคเจ้าได้สนทนาธรรมกับพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าขอถามพระสมณโคดมหน่อยเถิด ถ้าพระองค์จะให้โอกาสเพื่อแก้ปัญหาแก่ข้าพเจ้า” พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ท่านประสงค์จะถามอะไรก็เชิญถามเถิด” สัจจกนิครนถ์ถามว่า “พระสมณโคดมมีปกติแนะนำพวกสาวกอย่างไรบ้าง” พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเช่นเดียวกับที่พระอัสสชิเถระกล่าวไว้ คือ “ขันธ์ ๕ อันได้แก่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน” สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานั่นเอง เป็นสิ่งที่ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น

 

 

DhammaPP104_12.jpg

                นิครนถ์ได้ฟังแล้ว ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสมานั้นเป็นความจริง เพราะตนเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นอัตตาควรยึดถือไว้ จึงแสดงอุปมาว่า “พระโคดมผู้เจริญ เหมือนพืชพันธุ์ไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ พืชพันธุ์เหล่านั้นทั้งหมดต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน จึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ หรือเหมือนการงานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องทำด้วยกำลัง การงานเหล่านั้นทั้งหมด บุคคลต้องอาศัยแผ่นดินต้องอยู่ในแผ่นดินจึงทำได้ฉันใด บุรุษมีรูปเป็นตน มีเวทนาเป็นตน มีสัญญาเป็นตน มีสังขารเป็นตน มีวิญญาณเป็นตน ต้องตั้งอยู่ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงได้ประสบผลบุญผลบาป ฉันนั้น"

 

 

DhammaPP104_14.jpg

                พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย้อนถามว่า “ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ท่านกล่าวว่า รูปเป็นตนของเรา เวทนาเป็นตนของเรา สัญญาเป็นตนของเรา สังขารเป็นตนของเรา วิญญาณเป็นตนของเราดังนี้มิใช่หรือ” ทรงได้รับคำยืนยันว่า “ถูกแล้ว ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนั้น ประชุมชนเป็นอันมากก็กล่าวเช่นนั้น” พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนว่า “ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ประชุมชนเป็นอันมากจักทำอะไรแก่ท่าน เชิญท่านยืนยันถ้อยคำของท่านเถิด” สัจจกนิครนถ์ก็ยังยืนยันว่า ขันธ์ ๕ คือ รูปเป็นตนของเรา เป็นต้น

 

 

DhammaPP104_15.jpg

                พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจักสอบถามท่าน ท่านเห็นควรอย่างไร ท่านพึงแก้อย่างนั้น ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อำนาจของพระราชาผู้มุรธาภิเษกแล้ว เช่นพระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้ามคธอชาตศัตรู อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า ริบสมบัติคนที่ควรริบ เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ พึงให้เป็นไปได้ในพระราชอาณาเขตของพระองค์มิใช่หรือ"

               นิครนถ์ทูลตอบว่า “ถูกต้อง  พระราชาเหล่านั้นย่อมทำในสิ่งที่พระองค์ตรัสมาแล้วทั้งหมดได้ แม้แต่เจ้าวัชชีมัลละก็อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า เนรเทศคนที่ควรเนรเทศได้ เพราะอำนาจของพระราชาผู้มุรธาภิเษกแล้วนั้น ต้องให้เป็นไปได้ด้วย ควรจะเป็นไปได้ด้วย”

 

DhammaPP104_04.jpg

                พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ข้อที่ท่านกล่าวว่า รูปเป็นตนของเรา อำนาจของท่านเป็นไปในรูปนั้นว่า ขอรูปของเรา จงเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เถิด ดังนี้ได้หรือ”  เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามถึง ๒ ครั้ง นิครนถ์ก็ยังนิ่งเฉยไม่ยอมตอบคำถาม พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “บัดนี้เป็นการอันสมควร ท่านจงแก้เถิด ไม่ใช่กาลที่ท่านควรนิ่ง  ผู้ใดถูกตถาคตถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้ว ถึง ๓ ครั้ง หากมิได้แก้ ศีรษะของผู้นั้นจะแตกเป็น ๗ เสี่ยง" 

 

DhammaPP104_18.jpg

                เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ศีรษะของนิครนถ์จะแตกเป็น ๗ เสี่ยงหรือไม่ หลวงพ่อจะนำมาเล่าในตอนต่อไป ให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติธรรมกันให้ดี ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้ เราจะได้ไปรู้เรื่องขันธ์ ๕ ว่าความจริงเป็นอย่างไร หรือธรรมขันธ์เป็นอย่างไร แตกต่างกันไหม สิ่งเหล่านี้รู้ได้ด้วยธรรมกาย  เพราะฉะนั้น ต้องตั้งใจปฏิบัติธรรมกันทุกๆ คน

 

พระ ธรรมเทศนา โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

 

 

 
 
 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล