เมื่อเริ่มอยู่วัดปากน้ำ
วัดปากน้ำเป็นพระอารามหลวงสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตั้งอยู่บริเวณปากคลองภาษีเจริญ ซึ่งคลองภาษีเจริญเป็นคลองที่เชื่อมระหว่าง คลองบางกอกใหญ่กับแม่น้ำท่าจีน
บริเวณปากคลองภาษีเจริญด้านที่เชื่อมกับคลองบางกอกใหญ่ ได้มีการทำประตูน้ำ ซึ่งสร้างอยู่ติดๆ กับวัดปากน้ำ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ ก่อนที่หลวงพ่อ จะไปอยู่วัดปากน้ำ ๑๐ ปี
ประตูน้ำนี้ทำให้มีน้ำในลำคลองตลอดทั้งปี การเดิน เรือก็สะดวกขึ้น เพราะ ไม่ต้องติดที่ดอนเมื่อถึงฤดูแล้ง
การสร้างประตูน้ำต้องลงทุนเป็นเงินก้อนใหญ่ทางรัฐจึงเก็บค่าธรรมเนียม จากเรือแพที่ผ่านประตูน้ำ โดยเมื่อแรกเปิดได้จัดเก็บ ดังนี้ เรือกลไฟ หรือเรือยนต์
ปากกว้างตั้งแต่ ๑ เมตร ลงมา ยาวเมตรละ ๒๕ สตางค์
ปากกว้างเกิน ๑ เมตร ยาวเมตรละ ๓๐ สตางค์
แพ คิดตารางเมตรละ ๒ สตางค์
เรือพาย เรือแจวปากกว้างไม่ถึงเมตร ยาวไม่เกิน ๓ เมตร เสีย ๑ สตางค์
เรียกกันในสมัยนี้ก็ว่า คลองภาษีเจริญ เป็นโทลเวย์ทางน้ำ ที่ทำให้การเดินเรือสะดวกประหยัดเวลา เหมือนอย่างกับโครงการดอนเมืองโทลเวย์ ในสมัยปัจจุบัน ที่ทำให้การเดิน ทางโดยรถยนต์สะดวก ประหยัดเวลาขึ้น
สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) สมัยดำรงสมณศักดิ์ เป็นพระธรรมวโรดม ได้บรรยาย ภาพวัดปากน้ำ เมื่อครั้งที่หลวงพ่อเริ่มไปอยู่ว่า
"... สภาพวัดปากน้ำสมัยนั้นทุกอย่างไม่เรียบร้อย มีสภาพกึ่งวัดร้าง เป็นที่ควรแก้ไขให้เป็นวัดสมสภาพ
ขณะนั้นมีพระเก่าอยู่ประมาณ ๑๓ รูป กล่าวกันว่า พระและชาวบ้านที่นั่นมีอัธยาศัยเป็นนักเลง พระเก่าก็ไม่ค่อยตั้งอยู่ในธรรมวินัย ยากจะปกครอง ดูแลได้..."
เมื่อหลวงพ่อเริ่มไปอยู่วัดปากน้ำ งานแรกที่ท่านทำคืออะไร
สมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) สมัยเมื่อบวชใหม่ได้ ๑ พรรษา ก็ได้ตามหลวงพ่อไปวัดปากน้ำตั้งแต่เริ่มต้นท่านได้บันทึกเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า
"...งานเบื้องต้น หลวงพ่อวัดปากน้ำได้ประชุม พระภิกษุสามเณร ที่อยู่เดิมและมาใหม่ท่านให้โอวาทปรับความเข้าใจแก่กันว่า
เจ้าคณะอำเภอส่งมาเพื่อให้รักษาวัด และปกครองตักเตือน ว่ากล่าวผู้อยู่วัดโดยพระธรรมวินัย
อันจะให้วัดเจริญได้ ต้องอาศัยความพร้อมเพรียงและเห็นอกเห็นใจกัน จึงจะทำความเจริญได้
ถิ่นนี้ไม่คุ้นกับใครเลย มาอยู่นี้เท่ากับถูกปล่อย โดยไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใคร เพราะต่างไม่รู้จักกัน แต่ก็มั่นใจว่าธรรมที่พวกเราปฏิบัติตรงต่อพระพุทธโอวาท จะประกาศความราบรื่นและรุ่งเรืองให้แก่ผู้มีความประพฤติ เป็นสัมมาปฏิบัติธรรมวินัยเหล่านั้นจะกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไป
พวกเราบวชกันคนละมากๆ ปี ปฏิบัติธรรมเข้าขั้นไหน มีพระปาฏิโมกข์เรียบร้อยอย่างไรทุกคนทราบความจริงของตนได้
ถ้าเป็นไปตามแนวพระธรรมวินัย ก็น่าสรรเสริญ
ถ้าผิดพระธรรมวินัย ก็น่าเศร้าใจ เพราะตนเองก็ติเตียนตนเองได้เคยพบมาบ้าง แม้บวชตั้งนานนับเป็นสิบๆ ปี ก็ไม่มีภูมิจะสอนผู้อื่น จะเป็นที่พึ่งของศาสนาก็ไม่ได้ ได้แต่อาศัยศาสนาอย่างเดียว ไม่ทำประโยชน์ ให้เกิดแก่ตนและแก่ท่าน ซ้ำร้ายยังทำให้พระศาสนาเศร้าหมองอีกด้วย บวชอยู่อย่างนี้เหมือนตัวเสฉวน จะได้ประโยชน์อะไรในการบวชในการอยู่วัด
ฉันมาอยู่วัดปากน้ำ จะพยายามตั้งใจประพฤติให้เป็นไปตามแนวพระธรรมวินัย พวกพระเก่าๆ จะร่วมกันก็ได้ หรือจะไม่ร่วมด้วยก็แล้ว แต่อัธยาศัย ฉันจะไม่รบกวนด้วยอาการใดๆ เพราะถือว่าทุกคนรู้สึกผิด ชอบด้วยตนเองดีแล้ว
ถ้าไม่ร่วมใจ ก็ขออย่าขัดขวาง ฉันก็จะไม่ขัดขวางผู้ไม่ร่วมมือ เหมือนกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่ต้องช่วยกันรักษาระเบียบของวัด คนจะเข้าจะออกต้องบอกให้รู้ ที่แล้วมาไม่เกี่ยวข้อง เพราะยังไม่อยู่ในหน้าที่ จะพยายามรักษาเมื่ออยู่ในหน้าที่..."
เมื่อได้อ่านโอวาทของหลวงพ่อ ก็คงจะพอเข้าใจอัธยาศัยของท่านว่าเป็นคนจริงเพียงไร
เหตุการณ์ภายในวัดปากน้ำ มิได้สงบราบรื่น แต่หลวงพ่อก็ยังมุ่งมั่น ปรับปรุง ดูแลวัดให้เจริญก้าวหน้าทั้งด้านความเป็นอยู่ต่างๆ ในวัด และการอบรมสั่งสอนภิกษุ สามเณร ตลอดถึงคฤหัสถ์ชาวบ้านทั่วไป ในขณะที่ท่านดูแลวัดปากน้ำ กำลังเจริญ ก้าวหน้าดี เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้นที่วัดปากน้ำสมเด็จพระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) ได้บันทึกไว้ว่า
"...เมื่อ พ.ศ.อะไร ผู้เขียนจำไม่ได้ เกิดเรื่องอาชญากรรมขึ้นในวัดวันนั้นพระกมล ศิษย์ที่ถูกใจของท่านในด้านเทศนาใช้ปฏิภาณ และด้านปฏิบัติชั้นดีได้เทศนาหัวข้อธรรมเกี่ยวแก่พระกรรมฐานอยู่ หลวงพ่อฟังอยู่ด้วย เมื่อเสร็จการอบรมแล้วประมาณเวลา ๒๐.๐๐ น. ต่างกลับยัง ที่พักของตน มีผู้ลอบสังหารหลวงพ่อวัดปากน้ำที่หน้าศาลาการเปรียญขณะที่ท่านออกมาจากศาลาจะกลับกุฏิ ผู้ร้ายใช้ปืนยิงท่านถูกจีวรท่านทะลุ ๒ รูป ยิงนายพร้อม อุปัฏฐากผู้ติดตามหลังถูกที่ปากทะลุแก้ม เป็นบาดแผลสาหัสแต่ไม่ถึงแก่กรรมท่านรอดมาได้อย่างน่าอัศจรรย์..."
แม้จะพบกับอุปสรรคหลายอย่างในการดูแล พัฒนาวัดปากน้ำ แต่หลวงพ่อก็มิได้ ย่อท้อท่านทำนุบำรุง ดูแลกิจการภายในวัดให้เป็นไปได้ด้วยดี จนเจริญก้าวหน้าเป็นที่ยอมรับของทั้งพระชาวบ้าน และราชการ
อะไรเป็นสาเหตุให้ท่านผ่านพ้นอุปสรรค อันตรายเหล่านั้นมาได้ หลวงพ่อได้เล่าให้ฟังไว้ในเทศนาของท่าน เมื่อวันที่ ๑๘ พ.ย. ๒๔๙๗ ในเวลาที่ท่านได้มาอยู่วัดปากน้ำแล้ว ๓๗ ปี ดังนี้
"...มาอยู่วัดปากน้ำนี่ ไม่ใช่พอดีพอร้าย พอมาอยู่วัดปากน้ำเท่านั้นแหละ เขาไม่ยอมกันทั้งบ้านทั้งเมือง พระในวัดก็ไม่ยอมทั้งนั้น (ไม่ยอม) ผู้มาอยู่ผู้เทศน์นี่แหละ
พุทโธ่เอ๊ย ที่พึ่งของตัวไม่รู้จัก จะไปกีดกันผู้เป็นที่พึ่งของตัวให้ไปเสีย แล้วจะไปพึ่งอะไร
นี่เราจะทำอย่างไร
นี่ข้าไม่สู้ แล้วข้าก็ไม่หนีทำดีอันใดอันหนึ่งทำอะไรก็ทำจนสุด ความสามารถของตัว
จนกระทั่งบัดนี้ท่านทั้งหลายเห็นแล้วว่านี่แน่ ผู้ไม่สู้ ไม่หนี เป็นอย่างนี้แหละ เป็นประโยน์ไม่ใช่แต่มนุษย์ในประเทศเท่านั้น ฝรั่งมังค่ายังเข้ามาเป็นที่พึ่ง มาพึ่งอาศัย มาเล่าเรียนศึกษา แล้วเอาไปประกาศ...." ศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อวัดปากน้ำทุกท่าน ขอให้ดูหลวงพ่อท่านเป็นแบบอย่างเถิด เรามีครูบาอาจารย์ ผู้เป็นคนจริงเช่นนี้ ควรสักการะบูชาเทิดทูนท่านด้วยความภาคภูมิใจในบุญของตัว ที่ได้มาเป็นศิษย์ของท่าน
บางคนได้เป็นลูกศิษย์ บางคนเป็นหลานศิษย์ เป็นเหลนศิษย์ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากทางใด ก็ขอให้ได้ศึกษาประวัติชีวิตของท่าน และตั้งใจดำเนินรอยตามปฏิปทาของท่านเช่นเดียวกัน