ปาฏิหาริย์

วันที่ 19 กค. พ.ศ.2560

ปาฏิหาริย์

พุทธธรรมทีปนี 1 , Dhamma , Pre-Degree , วัดพระธรรมกาย , DOU , ธรรมกาย , ปริญญาตรี , พรีดีกรี , พระพุทธศาสนา , พุทธศาสตร์ , พระไตรปิฎก , พระสัมมาสัมพุทธเจ้า , ปาฏิหาริย์ , อิทธิปาฏิหาริย์ , อาเทสนาปาฏิหาริย์ , อนุสาสนีปาฏิหาริย์

      ปาฏิหาริย์ หมายถึง การกระทำที่เกินวิสัยมนุษย์ธรรมดาจะกระทำได้ เพราะปาฏิหาริย์เป็นผลอันเกิดจากจิตที่ได้รับการพัฒนาจนถึงจุดที่เป็นอภิญญวิชชาญาณ เป็นต้นดังนั้นหากผู้ใดสามารถปฏิบัติได้จนถึงจุดนั้น ปาฏิหาริย์ย่อมเกิดแก่ผู้นั้นได้ ปาฏิหาริย์แบ่งออกได้เป็น 3 อย่าง คือ

      1. อิทธิปาฏิหาริย์ ทรงแสดงฤทธิ์เป็นอัศจรรย์ คือ แสดงฤทธิ์อันเกินวิสัยสามัญชน เช่น เหาะไปในอากาศ ดำลงไปในแผ่นดิน หรือเดินบนผิวน้ำ

         2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ ทรงดักใจหรือทายใจคนได้เป็นอัศจรรย์ คือ ทราบความนึกคิดของคนอื่น รวมถึงอุปนิสัยและบารมีธรรม เป็นต้น

         3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนเป็นอัศจรรย์ คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีความอัศจรรย์ในตัวคำสอน ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้รับผลแห่งการปฏิบัตินั้นเป็นอัศจรรย์ปาฏิหาริย์ทั้ง 3 พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นยอด เพราะสามารถช่วยให้บุคคลได้รับประโยชน์จากพระศาสนาอย่างแท้จริง ซึ่งพระบรมศาสดาตรัสไว้ในเกวัฏฏสูตร ว่า

     "ดูก่อนเกวัฏฏะ ปาฏิหาริย์ 3 อย่างนี้ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ 3 อย่างนี้เป็นไฉน คือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์"

      คราวหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี เมืองนาลันทา บุตรของคหบดีคนหนึ่งชื่อเกวัฏฏะ มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี จึงปรารถนาอยากให้ชาวเมืองนาลันทา ได้พร้อมใจกันมานับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกับตน จึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมืองนาลันทานี้ เป็นเมืองที่มั่งคั่ง อุดม มบูรณ์ มีผู้คนมากมายล้วนแล้วแต่เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างยิ่ง ขอประทานโอกาสพระเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคทรงชี้ภิกษุสักรูปหนึ่ง ที่จักกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวเมืองนาลันทาจักเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคมากยิ่งขึ้น พระเจ้าข้า"

      พระพุทธองค์ตรัสว่า "ตถาคตมิได้เคยแสดงธรรมเป็นทำนองชักชวนภิกษุทั้งหลายให้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์แก่คฤหัสถ์" แต่เกวัฏฏะอาศัยความคุ้นเคยกับพระพุทธองค์ จึงยังคงกราบทูลเช่นนั้นอีก 2 ครั้ง โดยอ้างว่าเพื่อประชาชนชาวนาลันทา ซึ่งเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่แล้ว จะได้เลื่อมใสมากยิ่งขึ้น มิได้จำกัดว่าพระพุทธองค์จะต้องทรงแสดงเอง เพียงแต่ขอให้ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งแสดงก็ได้

      พระบรมศาสดาตรัสบอกว่าปาฏิหาริย์ที่กล่าวถึงนั้น ไม่ใช่มีเพียงอิทธิปาฏิหาริย์อย่างเดียว แต่มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง ซึ่งพระองค์ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยพระองค์เองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง คือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์

      ปาฏิหาริย์ประการที่ 1 อิทธิปาฏิหาริย์ เป็นอุตตริมนุสธรรม คือ ธรรมอันยิ่งยวดของมนุษย์ คือมนุษย์ทั่วไปทำไม่ได้ เพราะเกิดจากอานุภาพของใจที่หยุดนิ่งได้อย่างสมบูรณ์แล้วเป็นใจที่นุ่มนวลควรแก่การงาน คือจะน้อมใจไปทางไหนก็ได้ เช่น แ ดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวทำให้เป็นหลายคนก็ได้ หลายคนทำให้เป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพงภูเขาไปได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุดขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบนน้าเหมือนเดินไปบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์ ซึ่งมีฤทธิ์มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจด้วยกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้

      คนไหนที่ได้เห็นหรือได้ยินได้ฟังแล้ว เขาก็จะเล่าต่อ ๆ กันไป หากเกิดความเลื่อมใสก็ถือว่าเป็นผู้มีโชคดี จะได้เกิดแรงบันดาลใจในการฝึกสมาธิให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะได้เห็นอิทธิปาฏิหาริย์จากผู้มีอานุภาพด้วยตาเนื้อของตนเองส่วนคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสก็จะพึงแย้งว่า มีวิชาอยู่อย่างหนึ่งชื่อว่า คันธารี ภิกษุรูปนั้นแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างเพราะอาศัยวิชาคันธารีนั้นต่างหาก ด้วยทรงเล็งเห็นโทษในการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อย่างนี้พระพุทธองค์จึงไม่ทรงยินดีในการให้ภิกษุแสดงอิทธิปาฏิหาริย์

      ปาฏิหาริย์ประการที่ 2 อาเทสนาปาฏิหาริย์ คือ การดักใจหรือรอบรู้ความคิดความอ่านของคนอื่นได้ คนไหนมีศรัทธา เมื่อได้ฟังถ้อยคำของผู้ที่รู้ใจตัวเองแล้ว ก็จะเกิดความเลื่อมใสว่า สมณะในพุทธศาสนา มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ก็เกิดกำลังใจที่จะทำทาน รักษาศีลและเจริญภาวนาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปส่วนผู้ที่ไม่มีศรัทธา เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ก็จะแย้งว่า ภิกษุรูปนี้ทายใจคนได้ ก็คงจะไปเรียนวิชาชื่อมณิกามาซึ่งเป็นของพวกฤษีชีไพรหรือนักบวชนอกศาสนาเมื่อเป็นเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงไม่ทรงยินดีในการให้แสดงอาเทสนาปาฏิหาริย์

      ปาฏิหาริย์ประการที่ 3 อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นการพร่ำสอนให้ผู้ฟังตรึกตรองด้วยโยนิโสมนสิการ แนะนำให้ละอกุศลและเจริญกุศลธรรม อบรมพร่าสอนโดยใช้ปัญญา ให้ผู้ฟังพิจารณาเห็นไปตามความเป็นจริงด้วยตนเอง ไม่ใช่เกิดจากการใช้ฤทธิ์หรือการดักใจ แต่เกิดจากความซาบซึ้งในธรรมที่เกิดจากการปฏิบัติและนำมาพร่าสอนผู้อื่น

     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภถึงพระองค์เองว่า ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในเบื้องปลาย ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง เมื่อมีผู้ฟังธรรมของพระองค์แล้ว ก็เกิดศรัทธาในพระตถาคต ได้ออกบวชตาม ทรงสอนให้ภิกษุปฏิบัติตนเคร่งครัดในศีล บำเพ็ญสมาธิ เป็นผู้สันโดษ ยินดีในที่อัน งัดวิเวก มีสติสัมปชัญญะประกอบความเพียรอย่างไม่ลดละ จนได้บรรลุฌานสมาบัติและอภิญญา

      เมื่อภิกษุมีจิตนุ่มนวลควรแก่การงาน จิตสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสดีแล้ว ก็ย่อมน้อมไปเพื่อญาณทัสสนะ จนได้วิปัสสนาญาณ ได้วิชชา เป็นผู้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสไม่มีกิจที่จะต้องทำอีกต่อไป เพราะในทางพุทธศา นาถือว่าการทำพระนิพพานให้แจ้ง หรือการได้หลุดพ้นจากอาสวกิเลสจนสำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้น ได้ชื่อว่าหมดกิจที่ควรทำแล้ว นี่คืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรง สรรเสริญ

      ทั้งหมดนี้ก็คือปาฏิหาริย์ที่ควรแก่การศึกษาไว้ คนส่วนมากชอบฤทธิ์เดช ปาฏิหาริย์อยากให้พระแสดงฤทธิ์ เพราะเห็นเป็นของแปลกอัศจรรย์และนิยมนับถือพระเช่นนั้นว่าเก่งกล้าสามารถ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ เพราะไม่เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์แต่ทรงนิยมและสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสั่งสอน ชี้บาปบุญคุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ว่า ดีกว่า ประเสริฐกว่า บุคคลนำไปปฏิบัติแล้วได้ประโยชน์จริง ทำให้ชีวิตราบรื่นสงบสุขได้จริง พระพุทธศาสนาที่ยั่งยืนมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะความอัศจรรย์แห่งคำสั่งสอนนี่เอง

      ดังนั้น นักศึกษาต้องตระหนักให้ดีว่า ที่นักศึกษาข้าวัดหรือไปหาพระสงฆ์นั้น ก็เพื่อจะไปแสวงหาความจริงของชีวิต ไปรับฟังคำสั่งสอนของพระ แล้วนำมาประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน จะได้มีที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง เพื่อชีวิตการสร้างบารมีในสังสารวัฏจะได้ปลอดภัยและมีชัยชนะไปตลอด

    นอกจากเรื่องปาฏิหาริย์ที่ปรากฏในพระสูตรข้างต้นแล้ว ก็ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์ในครั้ง มัยพุทธกาลขณะพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่อีกหลายเหตุการณ์ด้วยกัน ดังเช่นเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงปรารภถึงคำถามของพระภิกษุผู้มีฤทธิ์รูปหนึ่ง ดังนี้

     "ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน อุปาทานรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน นามและรูปย่อมดับสนิทในที่ไหน"

      พุทธปัญหานี้ ปรารภเหตุจากการที่มีภิกษุรูปหนึ่ง อยากทราบว่า มหาภูตรูป 4 ดับไม่มีเหลือในที่ไหน ท่านได้พยายามเสาะแสวงหาคำตอบ จากเหล่าเทวดาทุกชั้นฟ้า จนกระทั่งถึงพรหมโลก แต่ก็ไม่มีใครที่สามารถให้คำตอบกับท่านได้ ในที่สุดก็ต้องกลับมาหาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทูลถามปัญหานี้กับพระพุทธองค์

      มีภิกษุผู้มีฤทธิ์รูปหนึ่ง เกิดความคิดว่า มหาภูตรูปทั้ง 4 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ จะดับไม่มีเหลือ ในที่ไหนหนอ เมื่อคิดแล้ว ท่านก็เข้าสมาธิ ชนิดที่เมื่อจิตตั้งมั่นแล้วสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ท่านได้เหาะไปสู่เทวโลก เข้าไปถามเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาว่า "ท่านทั้งหลาย มหาภูตรูปทั้ง 4 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน"

     พวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชฟังแล้ว ก็ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าไม่รู้ แต่ท้าวมหาราชทั้ง 4 รู้ดีกว่าพวกข้าพเจ้า ขอท่านจงไปถามท้าวมหาราชทั้ง 4 เถิด" เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ท่านก็เหาะไปหาท้าวมหาราชทั้ง 4 ท้าวมหาราชทั้งสี่ก็ตอบไม่ได้ ได้แต่แนะนำให้ไปถามพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ครั้นท่านเหาะเข้าไปถามเทพชั้นดาวดึงส์ ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ก็ตอบไม่ได้อีก ได้แต่ส่งต่อไปถึงท้าวสักกะจอมเทพ ผู้สามารถขบคิดปัญหาข้อเดียวได้เป็นพัน ๆ นัย

      เมื่อเป็นเช่นนี้ ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ก็ได้แต่เหาะเข้าไปถามท้าวสักกเทวราช แต่ท้าวสักกะก็ตอบไม่ได้อีก แต่ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปถามเทวดาชั้นยามา ท้าวสุยามา ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงเทวดาชั้นดุสิต ท้าวสันตดุสิต เลยไปถึงเทวดาชั้นนิมมานรดี ท้าวสุนิมมิตเทวราช และเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดี ท้าวปรนิมมิตวสวดีสรุปแล้วทวยเทพทั้งหมดก็ไม่รู้คำตอบ แต่ก็ได้รับคำแนะนำว่า "มีพรหมผู้มีอานุภาพมากในพรหมโลก ขอให้ท่านลองไปถามพรหมผู้มีอานุภามากเหล่านั้นดูเถิด"

     ท่านก็ไม่ละความพยายาม เข้าสมาธิเพียงชั่วระยะเวลาเหยียดแขนคู้แขน ก็ไปปรากฏในพรหมโลก ท่านเข้าไปหาหมู่รูปพรหมในพรหมโลก แล้วถามปัญหาเดิมนั้นอีก แต่พรหมก็ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ยังมีพรหมผู้เป็นมหาพรหมที่เป็นใหญ่ ไม่มีใครยิ่งกว่า รู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง ท้าวมหาพรหมองค์นั้นคงจะทราบ"

      ภิกษุรูปนั้นก็ถามว่า "แล้วท้าวมหาพรหมนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ" พวกพรหมก็ตอบว่า "แม้พวกเราก็ไม่รู้ที่อยู่ของท้าวมหาพรหมท่านนั้นเลย แต่ก็พอจะสังเกตได้ว่า หากมีแสงสว่างปรากฏเกิดขึ้นเมื่อใด ท้าวมหาพรหมนั้นจักปรากฏองค์ขึ้นเมื่อนั้น" ด้วยอานุภาพของภิกษุผู้มีฤทธิ์ที่ได้เข้าสมาธิกำหนดจิตเพื่อต้องการพบท้าวมหาพรหม แสงสว่างที่สว่างไสวเจิดจ้ากว่าปกติ ก็ปรากฏเกิดขึ้นในท่ามกลางแสงสว่างนั้น ท้าวมหาพรหมผู้มีรัศมีสว่างกว่าพรหมองค์อื่น ๆ ก็ได้ปรากฏกายให้เห็น ซึ่งท่านมีรัศมีสว่างกว่าพรหมองค์อื่น ๆ มาก เมื่อภิกษุผู้มีอานุภาพเห็นท้าวมหาพรหมแล้ว ก็เข้าไปถามปัญหาเดิมนั้นอีก

      ท้าวมหาพรหมแทนที่จะตอบคำถาม กลับพูดถึงความยิ่งใหญ่ของตนเองว่า "ข้าพเจ้าเป็นมหาพรหม ไม่มีใครยิ่งกว่า รู้เห็นเหตุการณ์โดยถ่องแท้ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้เนรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ผู้เกิดแล้ว และที่จะเกิดต่อไปอีก" ขณะที่ท้าวมหาพรหมกำลัง รรเสริญตัวเองด้วยความภูมิใจนั้น ภิกษุผู้ต้องการจะรู้ถึงคำถามที่ตัวเองต้องการจะรู้ ก็กล่าวแย้งขึ้นว่า "ข้าพเจ้าไม่ต้องการรู้เรื่องนี้ แต่อยากรู้ว่า มหาภูตรูปทั้ง 4 จะดับไม่มีเหลือในที่ไหนเท่านั้น"

      ทันทีที่ภิกษุผู้มีฤทธิ์กล่าวจบ ท้าวมหาพรหมก็จับแขนท่าน แล้วพาหายวับไปนั่งในสถานที่ลับสองต่อสอง แล้วกล่าวว่า "พระคุณเจ้า พวกพรหมทั้งหลายเข้าใจข้าพเจ้าว่า อะไร ๆ ที่มหาพรหมไม่รู้ ไม่เห็น ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ประจักษ์ ไม่มี เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตอบท่านต่อหน้าทวยเทพเหล่านั้นไม่ได้ เพราะแม้ตัวข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบถึงคำตอบปัญหาเหล่านี้เหมือนกัน แต่การที่ท่านละพระผู้มีพระภาคเสีย แล้วมาเสาะหาคำตอบจากผู้ไม่รู้แจ้งเห็นแจ้งในสรรพระธรรมนั้น นับว่าท่านได้กระทำผิดมหันต์ ขอท่านจงกลับไปเถิด จงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วทูลถามปัญหานี้กับพระองค์เถิด"

      เมื่อได้รับคำแนะนำจากมหาพรหมแล้ว อีกทั้งมองไปทั่วภพสาม ก็ไม่เห็นว่าจะมีใครสามารถตอบปัญหานี้ได้ จึงหายจากพรหมโลกมาปรากฏอยู่เฉพาะเบื้องพระพักตร์พระบรมศาสดา ได้ก้มลงกราบอย่างนอบน้อม แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง จากนั้นก็ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มหาภูตรูปท้งั 4 คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ไหน ข้าพระองค์เที่ยวหาคำตอบทั่วภพสามแล้ว ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเลยพระเจ้าข้า"

      ก่อนที่พระบรมศาสดาจะตรัสตอบปัญหานั้น ทรงกล่าวเป็นเชิงอุปมาว่า "ดูก่อนภิกษุเรื่องเคยมีมาแล้ว พวกพ่อค้าเดินสมุทร จับนกตีรทัสสีซึ่งเป็นนกดูฝัง ลงเรือไปด้วย เมื่อไม่เห็นฝังจึงปล่อยนกไป นกตีรทัสสีมันได้บินไปตามทิศต่าง ๆ ถ้าแลเห็นฝังก็จะไม่หวนกลับมา แต่ถ้าแลไม่เห็นฝัง ก็จะบินกลับมายังเรืออีก ดูก่อนภิกษุ เธอก็ฉันนั้น เที่ยวแสวงหาคำตอบจนถึงพรหมโลก ก็ไม่ได้รับคำตอบ ในที่สุดก็ต้องมาหาเรา ปัญหานี้เธอไม่ควรถามอย่างนั้น แต่ควรถามว่า ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน นามและรูปย่อมดับ
ไม่มีเหลือในที่ไหน"

      ในปัญหานี้ มีพุทธพยากรณ์ว่า "ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในวิญญาณ ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่มีที่สุด แต่มีท่าข้ามโดยรอบด้าน อุปาทายรูปที่ยาวและสั้นละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในวิญญาณนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในวิญญาณนี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปนั้นย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้"

      ใจความสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ที่ว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้ง หรือวิญญาณที่กล่าวถึงในพุทธพยากรณ์นั้น ก็คือพระนิพพานนั่นเอง เพราะนิพพานเป็นอายตนะ ซึ่งดิน น้ำ ไฟ ลม ตั้งอยู่ไม่ได้เป็นที่ดับไม่เหลือของนามรูป เป็นจุดสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ทั้งหลายในสังสารวัฏสำหรับเรื่องของความรู้จริงนั้น บางคนเที่ยวแสวงหาคำตอบในข้อที่ตนสงสัยไปตาม

     สำนักต่าง ๆ แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้องและถูกใจ อีกทั้งจับหลักอะไรก็ไม่ได้ แต่ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งมีในพระพุทธศาสนาเท่านั้น โดยเฉพาะความรู้เรื่องปรโลก นิพพาน ภพสาม โลกันต์ รวมไปถึงหมวดธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งทั้งหลาย เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนเอาไว้หมดแล้ว รอคอยแต่ให้เราได้ไปศึกษาเรียนรู้กัน และลงมือปฏิบัติเพื่อพิสูจน์ให้ได้ตามนั้น


1. ใจหยุดสุดยอดปาฏิหาริย์
     ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ มีสิ่งที่จะต้องศึกษาควบคู่กันไปอยู่ 2 ประการ คือ การศึกษาวิชาความรู้ทางโลก และศึกษาวิชชาในทางธรรม การศึกษาวิชาทางโลก มีเป้าหมายให้เรารู้วิธีแสวงหาปัจจัย 4 มาเลี้ยงตนได้อย่างถูกต้อง อันจะทำให้เราได้รับความสุข และความสำเร็จในชีวิตส่วนการศึกษาความรู้ทางธรรม มีเป้าหมายเพื่อฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์เพื่อจะได้เข้าถึงแหล่งแห่งสติ แหล่งแห่งปัญญาได้อย่างสมบูรณ์ อันจะส่งผลให้ชีวิตจิตใจของเราสูงส่งยิ่งขึ้น จนกระทั่งหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ เข้าถึงความสุขอันแท้จริงที่มีอยู่ภายในตน

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ทุติยโมรนิวาปสูตร ว่า

     "ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 3 ประการ คือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ภิกษุนั้นแล เป็นผู้สำเร็จถึงที่สุด เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดา และมนุษย์ทั้งปวง"

      เรื่องปาฏิหาริย์เป็นเรื่องปกติธรรมดาในพระพุทธศาสนา การทำปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ให้สำเร็จได้ ผู้ทำจะต้องมีความบริสุทธิ์ มีอานุภาพ มีใจหยุดนิ่ง จนถึงจุดที่จะนึกคิดสิ่งใด ก็สำเร็จได้เป็นอัศจรรย์ เป็นสิ่งที่ปุถุชนคนธรรมดาทำกันไม่ได้ เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของธรรมชาติจึงเรียกว่าปาฏิหาริย์ เพราะเป็นเรื่องเหลือวิสัยของผู้ที่ใจไม่หยุด แต่สำหรับผู้ที่มีใจหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว ท่านถือว่าเรื่องปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องปกติธรรมดา

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทำสิ่งเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะพุทธานุภาพเป็นอานุภาพที่ไม่มีประมาณ อยู่เหนือจินตนาการของมนุษย์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์จะทรงแสดงปาฏิหาริย์พร่ำเพรื่อ ที่ทรงแสดงปาฏิหาริย์นั้น มีวัตถุประสงค์หลักก็เพื่อให้เหล่าเวไนยสัตว์ได้เห็นแจ้งความจริงของชีวิต จะได้หลุดพ้นจากทุกข์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่อวดคุณวิเศษเพราะอยากเด่นอยากดัง อยากให้คนมานับถือ เพราะพระองค์ทรงหมดกิเลสแล้ว จึงหวังอยากจะให้สรรพสัตว์หลุดพ้นจากทุกข์ ไปสู่บรมสุขเหมือนกับพระองค์บ้าง

     ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทะเจ้าทรงปรารภว่า จะแสดงยมกปาฏิหาริย์เพื่อทำลายความเห็นผิดของเจ้าลัทธิต่างๆ ซึ่งพระสาวกผู้มีฤทธิ์มีเดช ต่างมาขออาสาแสดงฤทธิ์แทนพระองค์ เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่า ลำพังพระสาวกยังมีอานุภาพถึงเพียงนี้ แล้วพระศาสดาจะทรงมีอานุภาพถึงเพียงไหน

     แม้จะมีพระสาวกขออาสา แต่พระบรมศาสดาก็ทรงห้าม ทำให้พวกเดียรถีย์ยิ่งได้ใจ หวังจะข่มพระพุทธองค์ เพราะคิดว่าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว แม้จะมีฤทธานุภาพมากมาย ก็คงจะไม่แสดงฤทธิ์อย่างแน่นอน เพราะจะเป็นการละเมิดสิกขาบทที่บัญญัติไว้ แต่พระบรมศาสดากลับรับคำท้าทายนั้น โดยให้เหตุผลว่า พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบทข้อนี้ เพื่อพระสาวกมิใช่เพื่อพระองค์เอง เหมือนพระราชาห้ามคนเก็บมะม่วงในพระราชอุทยาน แต่พระราชาเองก็ยังคงเก็บมะม่วงมาเสวยได้

   เมื่อพระบรมศาสดาได้ประกาศว่า จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ที่เมืองสาวัตถี พวกเดียรถีย์เกิดความความหวาดหวั่นกันมาก เพราะรู้ว่าพระพุทธองค์ทรงทำปาฏิหาริย์ได้จริง แต่ก็ไม่ละความพยายาม จึงชักชวนอุปัฏฐากให้ช่วยกันสร้างมณฑปเสาไม้ตะเคียน และมุงด้วยดอกอุบลเขียวพร้อมทั้งประกาศว่า พวกตนจะทำปาฏิหาริย์ใหญ่ในที่ตรงนี้

     พระบรมสดาทรงประกาศว่า จะแสดงปาฏิหาริย์ที่ใต้ต้นมะม่วง พวกเดียรถีย์จึงสั่งให้อุปัฏฐากของตน ไปโค่นต้นมะม่วงทิ้งให้หมด ทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ในอาณาบริเวณ 1 โยชน์ ครั้น

      ครบกำหนดนัดหมาย มีคนเฝ้าสวนของพระราชา ชื่อคัณฑะ ได้นำมะม่วงสุกมาถวายพระบรมศาสดา หลังจากพระองค์เสวยและวางเมล็ดมะม่วงนั้นไว้บนพื้นดิน พลางชำระพระหัตถ์ลงบนเมล็ดมะม่วง ทันใดนั้นเองสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ต้นมะม่วงได้งอกขึ้นมา และเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็สูงถึง 50 ศอก แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วบริเวณ

    ท้าวสักกะเห็นการกระทำที่ชั่วร้ายของพวกเดียรถีย์โดยตลอด จึงมีเทวบัญชารับสั่งให้วาตวลาหกเทพบุตร บันดาลให้มีลมพายุพัดถอนมณฑปของพวกเดียรถีย์ให้พังพินาศส่วนสุริยเทพบุตรก็ให้แผ่รัศมีมณฑลของพระอาทิตย์ ทำให้พวกเดียรถีย์ถูกความร้อนแผดเผา จนไม่อาจทนอยู่ได้ ต่างพากันหลบหนีกันไปคนละทิศละทาง

      เมื่อพระบรมศาสดาจะเริ่มแสดงปาฏิหาริย์ ได้มีมหาอุบาสิกาคนหนึ่งชื่อ ฆรณี ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์พลางกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อธิดาเช่นหม่อมฉันมีอยู่หม่อมฉันจะขออาสาทำปาฏิหาริย์แทน พระเจ้าข้า" พระบรมศาสดาตรัสถามว่า"ฆรณี เธอจะทำอย่างไร" นางกราบทูลว่า "หม่อมฉันจะทำแผ่นดินนี้ ให้เป็นเหมือนผืนน้ำ แล้วดำดิ่งลงไปแสดงตนที่ขอบปากจักรวาลด้านทิศตะวันตก ดำลงจากทิศตะวันตก ไปโผล่ที่ขอบจักรวาลด้านทิศตะวันออก และจากทิศเหนือไปทิศใต้ พระเจ้าข้า"

      พระบรมศาสดาได้ตรัสห้ามไว้ แต่ก็มีสาวกอีกมากมายมาขออาสาแสดงปาฏิหาริย์พระองค์มีพระประสงค์จะให้มหาชนรู้ถึงอานุภาพของพระสาวก จึงตรัสถามว่า "ผู้ใดมีความประสงค์ที่จะแสดงปาฏิหาริย์อีก" ท่านจุลอนาถบิณฑิกะกราบทูลว่า "ข้าพระองค์จะเนรมิตอัตภาพให้เป็นเหมือนพรหมสูง 12 โยชน์ ปรบมือให้ดังกึกก้องกัมปนาท เหมือนมหาเมฆกระหึ่มในท่ามกลางบริษัทนี้ พระเจ้าข้า"

     ต่อมาสามเณรีชื่อ วีรา ซึ่งมีอายุเพียง 7 ขวบ กราบทูลว่า "หม่อมฉันจะนำภูเขาสิเนรุภูเขาจักรวาล และภูเขาหิมพานต์มาตั้งเรียงกันไว้ แล้วย่างก้าวจากยอดเขาแต่ละลูกไปมาพระเจ้าข้า" จากนั้นสามเณรจุนทะได้กราบทูลว่า "ข้าพระองค์จะเขย่าต้นหว้าใหญ่ ที่เป็นธงของชมพูทวีป แล้วนำผลหว้าใหญ่มาถวายพระพุทธองค์ พระเจ้าข้า"

     ต่อจากนั้น พระอุบลวรรณาเถรีได้กราบทูลว่า "หม่อมฉันจะบันดาลให้ตนเองเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้พรั่งพร้อมไปด้วยรัตนะ 7 มีบริวาร 36 โยชน์แวดล้อม แล้วพามากราบถวายบังคมพระพุทธองค์"ส่วนพระมหาโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย กราบทูลว่า "ข้าพระองค์จะวางภูเขาสิเนรุไว้ในระหว่างฟัน แล้วเคี้ยวกินภูเขานั้น ประดุจเคี้ยวกินเมล็ดพันธุ์ผักกาด จะวางแผ่นดินไว้ในมือข้างซ้าย แล้วเอา รรพสัตว์ไปไว้ในทวีปอื่นด้วยมือข้างขวา จะทำเขาสิเนรุให้เป็นด้ามร่ม ยกผืนแผ่นดินใหญ่ขึ้นวางไว้เบื้องบน เอามือข้างหนึ่งถือไว้ คล้ายการถือร่มแล้วเดินจงกรมไปในอากาศ พระเจ้าข้า"

      แม้กระนั้น พระบรมศาสดาก็ยังคงตรัสปฏิเสธพระสาวกว่า "เรารู้อานุภาพของพวกเธอดีแต่พวงดอกไม้นี้ เขามิได้ผูกไว้เพื่อประโยชน์แก่พวกเธอ เพราะตถาคตเป็นผู้มีธุระที่หาผู้เสมอมิได้ผู้อื่นที่ชื่อว่าสามารถนำธุระของเราไปได้นั้น ไม่มี ตถาคตเท่านั้นที่จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ อันเป็นพุทธประเพณี ให้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่าพุทธบริษัท"

      จากนั้นพระองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทั้งมหัศจรรย์และเหลือเชื่อ แต่ก็เป็นความจริง เรื่องปาฏิหาริย์นั้น เป็นสิ่งที่มีคู่มากับพระพุทธศา นา และมีบันทึกอยู่ในพระไตรปิฎก ตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มสุดท้ายทีเดียว เรื่องปาฏิหาริย์นั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้ที่มีใจหยุดดีแล้ว และวิชชาในพระพุทธศาสนาก็สอนให้เราทำในสิ่งเหล่านี้ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นวิชชา 3 วิชชา 8 อภิญญา 6 ก็มีเรื่องราวของปาฏิหาริย์โดยตลอด เป็นเรื่องถูกปกติ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร เป็นสิ่งที่จะยังความศรัทธาเลื่อมใสให้เกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางนำไปสู่การลงมือปฏิบัติธรรมให้รู้แจ้ง หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์สิ่งนี้เป็นสุดยอดปาฏิหาริย์ในทางพระพุทธศาสนา

      ดังนั้น ใจหยุดจึงเป็นสุดยอดของปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนสามารถทำกันได้ ศึกษาเรียนรู้กันได้ เป็นวิชชาที่เป็นของกลางของโลก ไม่ว่าชาติไหนภาษาใดก็เรียนรู้กันได้ ถ้าทำใจให้หยุดนิ่ง เพราะฉะนั้นใจหยุดเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่จะทำให้เราเป็นผู้มีอานุภาพ มีความบริสุทธิ์เต็มเปียมไปด้วยพลังแห่งความดี มีกำลังใจไม่สิ้นสุด ผู้รู้จึงกล่าวว่า "อยากได้กำลังกายต้องเคลื่อนไหว แต่อยากได้พลังใจต้องทำใจหยุดนิ่ง" ใจที่หยุดนิ่งจึงมีพลัง จะนึกคิดสิ่งใดก็สำเร็จสมปรารถนา ดังนั้นนักศึกษาจึงควรหมั่นฝึกใจให้หยุดนิ่งทุก ๆ วัน


2. ยมกปาฏิหาริย์
       มีธรรมภาษิตใน นานาติตถิยสูตร ว่า
         "ภูเขาวิบุละ เขากล่าวกันว่าเป็นภูเขาสูงเยี่ยมกว่าภูเขาที่ตั้งอยู่ใน

     พระนครราชคฤห์ เสตบรรพต เป็นเลิศกว่าภูเขาในป่าหิมพานต์ ดวงอาทิตย์เป็นเลิศกว่าสิ่งใด ๆ ในนภากาศ มหาสมุทรเป็นเลิศกว่าห้วงมหานทีดวงจันทร์เป็นเลิศกว่า หมู่ดาวทั้งปวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเลิศกว่าสรรพสัตว์ในโลก และเทวโลก"

     พระบรมโพธิสัตว์แต่ละพระองค์ กว่าจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณท่านต้องสร้างบารมีชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันทีเดียว ละได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งชีวิต เพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญุตญาณอันประเสริฐ คือ ญาณหยั่งรู้ใน รรพศาสตร์ที่เป็นเหตุให้รู้แจ้งโลกทั้งปวง การสร้างบารมีของท่านถึงกับมีอุปมาไว้ว่า ในเส้นทางการสร้างบารมี แม้จะมีถ่านเพลิงร้อนระอุตลอดเส้นทางมาขวางกั้น หรือจะมีทะเลเพลิงลุกโพลงโชติช่วงจนมองไม่เห็นฝัง แต่หากรู้ว่าจุดหมายปลายทางข้างหน้า คือ ฝังแห่งพระนิพพานอันเป็นบรมสุข ท่านก็จะอดทนฝ่าฟันข้ามไปเพื่อแลกกับการได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะยอมสละทุกสิ่ง เพื่อพระสัทธรรมอันประเสริฐ

      ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว จึงเป็นเอกอัครบุรุษในโลก ที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า หรือจะมาเทียบเท่าได้ พระองค์เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทรงสมบูรณ์พร้อมทั้งพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ทั้งทศพลญาณ เวสารัชชญาณวิชชา 3 วิชชา 8 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ 4 จรณะ 15 คุณวิเศษทุกอย่างนี้ ไม่มีใครจะมาเทียมพระองค์ได้

      เพราะฉะนั้น เมื่อถึงคราวที่พระพุทธองค์ทรงปรารภว่าจะแสดงปาฏิหาริย์ เป็นการประกาศอานุภาพของพระรัตนตรัย และยกใจมหาชนผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หรือที่เลื่อมใสแล้วให้เลื่อมใสยิ่ง ๆ ขึ้นไป บรรดาพระอริยสาวกผู้มีอานุภาพ ต่างมาขออาสาจะแสดงปาฏิหาริย์แทนพระองค์ เพราะแค่ลำพังพระสาวกทำปาฏิหาริย์ มหาชนก็บังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้พระพุทธองค์มาแสดงเอง แต่พระองค์ก็ไม่ทรงอนุญาต

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเริ่มแสดงปาฏิหาริย์ ด้วยการเนรมิตรัตนจงกรมในอากาศ แล้วขึ้นไปปรากฏพระวรกายบนรัตนจงกรมนั้น ให้มหาชนได้เห็นกันหมด พระองค์ทรงอธิษฐานให้เกิดท่อไฟพุ่งออกจากพระวรกายเบื้องบน ท่อธารน้ำไหลออกจากพระวรกายเบื้องล่าง และให้ท่อไฟพุ่งออกจากเบื้องล่างสายน้ำไหลออกจากเบื้องบนสลับกันไป มีความ วยงามมาก และเปล่งรัศมีสว่างไสวด้วยฉัพพรรณรังสี มีสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว สีหงสบาท (แดงปนเหลืองหรือแดงเรื่อ) และประภัสสรเลื่อมพรายใสว่างตลอดเวลา มหาชนแลดูแล้วต่างเย็นตาเย็นใจมองดูไม่กะพริบตากันเลยทีเดียว

     จากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเนรมิตพระธรรมกายขึ้นเป็นพุทธเนรมิต ถ้าพระพุทธเนรมิตนั่ง พระองค์ก็ทรงประทับยืน ถ้าพระพุทธเนรมิตจงกรม พระองค์ก็จะประทับนั่ง ถ้าพระพุทธเนรมิตสำเร็จ สีหไสยาสน์ พระองค์ก็จะทรงจงกรมสลับกันไปมาอยู่อย่างนี้ ทรงเนรมิตกายเป็นพัน ๆ กายทีเดียว ดูเหมือนเป็นเรื่องเหลือเชื่อแต่ก็เป็นความจริง และมีปรากฏในพระไตรปิฎกด้วย

    เมื่อพระองค์เข้าเตโชกสิณสมาบัติ ท่อไฟก็พุ่งออกจากพระวรกาย เมื่อเข้าอาโปกสิณสมาบัติสายน้ำไหลออกมา แล้วท่อไฟกับสายน้ำก็ไหลออกมาพร้อม ๆ กัน พุ่งขึ้นไปถึงพรหมโลก และครอบคลุมไปถึงสุดขอบจักรวาล พระฉัพพรรณรังสีของพระบรมศาสดาก็แผ่ขยายจากจักรวาลหนึ่งไปสู่อีกจักรวาลหนึ่ง เป็นเหมือนทองคำที่ละลายสุกปลั่งโชติช่วง ซึ่งกำลังไหลออกจากเบ้า และแผ่ขยายไปจรดพรหมโลก แล้วสะท้อนกลับมาสุดขอบจักรวาล ทั้งท่อไฟสายน้ำ และฉัพพรรณรังสี พวยพุ่งทับทวีเป็นชั้น ๆสว่างไสวสวยงามอลังการ เป็นที่น่าอัศจรรย์มากทีเดียว

     ที่มหัศจรรย์ยิ่งไปกว่านั้น คือ การแสดงปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น ทำให้มหาชนมีใจหยุดนิ่งประสานกันเป็นดวงเดียว แม้จะมีคนนับล้านก็เหมือนเป็นหนึ่ง ใจทุกดวงดื่มด่ำในรสพระธรรมดวงตาทุกคู่ต่างเห็นสิ่งที่เป็นสิริมงคล เป็นทัสสนานุตตริยะส่วนดวงใจก็สว่างไสว ได้บรรลุธรรมาภิสมัย เข้าถึงพระธรรมกายกันมากมาย เมื่อมหาชนทำสาธุการ เสียงก็ดังกึกก้องไปถึงพระนิพพาน

      พระบรมศาสดาทรงตรวจดูวาระจิตของมหาชน ทรงรู้วาระจิตของทุกคนด้วยอาการถึง 16 อย่าง คือ รู้ว่าแต่ละคนคิดอะไรบ้าง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต รู้ว่าเขามีความปรารถนาอยากจะดู อยากจะเห็นอะไร พระองค์ก็ทรงให้สมความปรารถนาทุกอย่าง ใครเลื่อมใสในพระธรรมอย่างไร หรือในปาฏิหาริย์ชนิดไหน พระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมนั้น ๆ และทำปาฏิหาริย์ให้เหมาะกับจริตอัธยาศัยของแต่ละบุคคล

  ขณะที่พระพุทธองค์ทำปาฏิหาริย์อยู่นั้น ไม่ทรงเห็นผู้ที่จะสามารถถามปัญหาพระองค์ได้จึงทรงเนรมิตพระพุทธเนรมิตขึ้นเพื่อเป็นผู้ถาม และพระองค์ก็ทรงเฉลยปัญหาที่ถามนั้น ทรงผลัดกันถามผลัดกันตอบในเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง นำมาซึ่งความรู้แจ้ง และความสุขใจอย่างไม่มีประมาณ มหาชนได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ได้ฟังสิ่งที่เป็นสวนานุตตริยะ คือ ฟังธรรมที่พระมุนีผู้รู้ถามตอบกัน ต่างมีความรู้สึกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแ ดงธรรมให้ตนเองฟังผู้เดียวเท่านั้น แม้จะฟังอยู่ไกลถึงหมื่นโยชน์แสนโยชน์ ก็เหมือนกับพระองค์อยู่ต่อหน้าอย่างนั้น

       การแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนั้น พระองค์ทรงแสดงเป็นคู่ ๆ เช่น แสดงท่อไฟและสายน้ำ แสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ คู่กับพระพุทธเนรมิต ถามตอบธรรมะกัน และที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือนอกจากจะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์แล้ว ยังทรงแสดงธรรมควบคู่กันไปด้วย จึงเรียกว่า ยมกปาฏิหาริย์ คือ ปาฏิหาริย์ที่ทำเป็นคู่ ๆ ทำให้สรรพสัตว์ได้บรรลุธรรมกันมากมาย ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า ได้บรรลุธรรมกันถึง 20 โกฏิกันทีเดียว

     เมื่อพระบรมศาสดากำลังทำปาฏิหาริย์อยู่นั้น ทรงดำริว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตทั้งหลาย เมื่อทำปาฏิหาริย์นี้แล้ว พระองค์เสด็จจำพรรษากันที่แห่งใด ทรงเห็นว่า พระองค์อยู่จำพรรษาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทรงแสดงอภิธรรมปิฎกโปรดพระพุทธมารดา จากนั้นทรงแสดงพุทธานุภาพ ด้วยการยกพระบาทเบื้องขวาเหยียบเหนือยอดภูเขายุคันธร ยกพระบาทเบื้องซ้ายเหยียบเหนือยอดภูเขาสิเนรุ เพียงย่างพระบาท 3 ก้าว ก็ไปได้ไกลถึง 6 ล้าน 8 แสนโยชน์ ทั้ง ๆ ที่การก้าวของพระองค์ก็เหมือนกับคนธรรมดาก้าว แต่ในเวลาที่พระองค์ทรงยกพระบาทขึ้น ยอดเขาก็จะน้อมมารองรับพระบาทไว้ เมื่อเหยียบแล้ว ภูเขาก็จะกลับมาตั้งอยู่เช่นเดิม

      นี่คือเรื่องราวมหัศจรรย์ที่เป็นอจินไตย เป็นพุทธานุภาพซึ่งพรั่งพร้อมทั้งบุญฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์ ที่เกิดจากการสั่งสมบุญบารมีมายาวนานถึง 20 อสงไขยแสนมหากัป ท่านจึงมีอานุภาพไม่มีประมาณ ไม่มีสาวกรูปใดที่จะแสดงอิทธิปาฏิหาริย์เทียบเท่าพระองค์ได้ ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงต้องแสดงปาฏิหาริย์เอง ซึ่งก็เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ

     จะเห็นได้ว่า ประวัติการสร้างบารมีของพระพุทธองค์นั้น พระองค์เป็นผู้ให้มาโดยตลอดละได้แม้กระทั่งสิ่งอันเป็นที่รัก เพื่อสิ่งที่รักยิ่งกว่า คือ พระโพธิญาณ เมื่อตั้งความปรารถนาในสิ่งที่ดีก็ทุ่มสุดตัว พระองค์จึงเป็นผู้มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพมาก หากนักศึกษาปรารถนาจะพรั่งพร้อมทั้งบุญฤทธิ์ และอิทธิฤทธิ์เหมือนอย่างพระพุทธองค์ ก็ให้ตั้งใจทุ่มเทสร้างบารมีกันให้เต็มที่โดยเฉพาะการทำสมาธิภาวนา ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ให้หมั่นทำทุก ๆ วัน วันละหลาย ๆ ครั้ง ทำให้สม่ำเสมอ ใจของเราจะมีพลัง ซึ่งอานุภาพที่เกิดจากใจหยุดนิ่ง เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ และน่าอัศจรรย์มาก เพราะฉะนั้นให้ขยันหยุดใจ ให้เข้าถึงพระธรรมกายให้ได้


3. ปาฏิหาริย์วันออกพรรษา
       มีวาระพระบาลีในขุททกนิกาย อปาทาน ว่า

"เอวํ อจินฺติยา พุทฺธา     พุทฺธธมฺมา อจินฺติยา
อจินฺติเยสุ ปสนฺนานํ        วิปาโก โหตฺยจินฺติโย

     พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอจินไตย ธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นอจินไตย วิบากของผู้เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นอจินไตย"

     พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทรงสั่งสมบุญบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน อย่างน้อย 4อสงไขยแสนมหากัป ทำให้เป็นผู้สมบูรณ์พร้อมในทุก ๆ ด้าน ไม่มีใครที่จะมาเทียบกับพระองค์ได้ ถึงคราวที่จะทรงแสดงปาฏิหาริย์ นอกจากปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปจะบังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสอย่างเปียมล้นแล้ว แม้พระอริยสาวกผู้ทรงอภิญญา เมื่อได้เห็นพุทธานุภาพ ทุกท่านต่างอัศจรรย์ใจในความเป็นอจินไตยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระทั่งเหล่านักบวชนอกศาสนาหรือมหาชนที่ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิพากันเลื่อมใสศรัทธา ถึงขนาดหันมานับถือพระพุทธศาสนากันมากมายนับไม่ถ้วน

      ในขณะที่พระบรมศาสดาทรงแสดงปาฏิหาริย์อยู่นั้น ทรงรำพึงว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต หลังจากที่ท่านแสดงปาฏิหาริย์แล้ว จะเสด็จไปจำพรรษา ณ สถานที่ใด ทรงรู้ว่า "ควรจำพรรษาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อแสดงอภิธรรมโปรดพุทธมารดา" พระองค์จึงยกพระบาทขวาขึ้นเหยียบยอดภูเขายุคันธร แล้วยกพระบาทซ้ายเหยียบยอดเขาพระสิเนรุก้าวย่างพระบาทขึ้นไปเช่นเดียวกับคนทั่วไป

      ขณะที่พระองค์ทรงยกพระบาทขึ้นนั้น ภูเขาก็โน้มมารองรับพระบาททันที เมื่อทรงดำเนินผ่านไป ภูเขาก็กลับมาตั้งอยู่ที่เดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่ก็เป็นเรื่องอจินไตยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอินทร์ทอดพระเนตรเห็นพระพุทธองค์เสด็จมา ก็ปีติโสมนัสที่พระบรมศาสดาจะทรงจำพรรษาในดาวดึงส์ ซึ่งนับเป็นบุญลาภอันประเสริฐของเหล่าทวยเทพยิ่งนัก ชาวสวรรค์ทั้งหมดจึงได้ถวายการต้อนรับด้วยความปลื้มปีติอย่างยิ่ง

      พระบรมศาสดาเสด็จจำพรรษาบนบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ซึ่งยาวถึง 60 โยชน์ กว้าง 50 โยชน์ หนา 15 โยชน์ และประทับอยู่ใต้ต้นปาริฉัตร มีเหล่าทวยเทพจากสวรรค์ทุกชั้นฟ้ามารวมประชุมกันเนืองแน่นเต็มไปหมด เพื่อที่จะรับฟังพระธรรม เทวดาที่มีรัศมีสว่างไสวมากมีบุญบารมีมากจะนั่งอยู่ด้านหน้า ที่มีรัศมีน้อยก็นั่งลดหลั่นไปตามลำดับ แต่รัศมีของเหล่าเทวดา ไม่อาจที่จะเทียบกับฉัพพรรณรังสีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย

      มหาชนรู้ว่าพระบรมศาสดาเสด็จจำพรรษาในเทวโลก และจะเสด็จกลับในวันมหาปวารณา ทุกคนจึงเฝ้ารอคอยการเสด็จกลับมาของพระพุทธองค์อยู่บริเวณนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก เพราะสถานที่แห่งนั้น แม้จะเป็นที่โล่ง ๆ ว่าง ๆ ไม่มีเครื่องมุงบังกันแดดกันฝน แต่กลับมีบรรยากาศที่เย็น บายเหมาะแก่การประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่ว่าคนจะมากันมากมายเพียงใดก็มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ เพราะได้ท่านจุลอนาถบิณฑกะเป็นต้นบุญคอยจัดอาหารมาเลี้ยงทุกคนไม่ให้ขาดตกบกพร่องตลอดทั้ง 3 เดือนส่วนพระโมคคัลลานะได้ขึ้นไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อน้อมนำพระธรรมเทศนาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงบนสวรรค์มาแสดงให้มหาชนฟังอีกครั้งหนึ่ง

     เมื่อพระบรมศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่ทวยเทพ ทรงเริ่มแสดงอภิธรรมปิฎกว่า "กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา" แสดงเรื่อยไปตลอด 3 เดือน ให้กับสิริมหามายาเทพบุตรที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดุสิตพร้อมด้วยเหล่าเทพบริวารอีกมากมาย เมื่อถึงคราวที่จะเสด็จไปบิณฑบาต พระองค์ก็จะเนรมิตพระพุทธนิมิตแสดงธรรมแทน จนกว่าพระองค์จะเสด็จกลับ

     ทุก ๆ วัน พระองค์จะเสด็จไปบิณฑบาตที่อุตตรกุรุทวีป และทรงฉันภัตตาหารที่สระอโนดาตในป่าหิมพานต์ พระสารีบุตรจะมาอุปัฏฐากพระองค์ พร้อมกับฟังธรรมที่พระองค์ทรงแสดงบนสวรรค์ จากนั้นท่านจะนำไปแสดงแก่สัทธิวิหาริกของท่าน 500 รูป และเทศน์สอนมหาชนที่มารอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ร่วมกับพระโมคคัลลานะด้วย

      ในพรรษานั้นมีภิกษุ 500 รูป ซึ่งในอดีตชาติเคยเกิดเป็นค้างคาวหนูเกาะอยู่ในถ้าแห่งหนึ่ง ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระสวดอภิธรรมต่างเกิดความเลื่อมใสในเสียงนั้น ด้วยจิตที่เลื่อมใสเมื่อละโลกไปแล้ว ได้ไปบังเกิดในเทวโลกเสวยทิพยสมบัติสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากเทวโลกก็มาเกิดในกรุงสาวัตถี มีบุญได้มาเห็นยมกปาฏิหาริย์ เกิดความปีติเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากจึงขอบวช ทันทีที่ได้ฟังพระอภิธรรม ธรรมสัญญาที่เคยฟังสมัยเป็นค้างคาวหนูก็เกิดขึ้น ทำให้เป็นผู้ชำนาญในพระอภิธรรมเป็นพิเศษ

     เมื่อถึงวันออกพรรษา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาจบลง เหล่าเทวดาได้บรรลุธรรมาภิสมัยเข้าถึงธรรมกันถึง 80,000 โกฏิสิริมหามายาเทพบุตรได้บรรลุโสดาบันในวันนั้นเป็นวันที่แสงแห่งธรรมสว่างไสวรุ่งโรจน์ไปทั่วทุกชั้นฟ้า พระบรมศาสดาตรัสบอกพระอินทร์ว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะเสด็จกลับสู่มนุษยโลก

    มหาชนต่างมารอคอยพระองค์อยู่ที่เมืองสังกัสนคร ทุกคนล้วนมีใจที่ผ่องใเจริญพุทธานุสติมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ตลอดทั้ง 3 เดือน ใจจึงเกลี้ยงเกลาสะอาดบริสุทธิ์มาก ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์ พร้อมกับเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ด้วยใจที่ใสบริสุทธิ์ของมหาชนในครั้งนั้น จึงทำให้สามารถมองเห็นเทวดาบนสวรรค์ทุกชั้นฟ้าที่มาส่งพระองค์ เป็นเหมือนกองทัพของชาวสวรรค์ที่เลื่อนลอยมาจากนภากาศ มีความยิ่งใหญ่ประดุจพระเจ้าจักรพรรดิเสด็จออกยาตราทัพ เหล่าเทวดาได้ลงมาทางบันไดทอง มหาพรหมลงทางบันไดเงิน

      ส่วนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงทางบันไดแก้วมณี ทรงเปล่งพระฉัพพรรณรังสีสว่างไสวเรืองรองไปทั่วทั้งโลกธาตุ แล้วเกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้น คือ ท่านเปิดโลกทั้งสาม ให้เห็นถึงกันในเวลาเดียวกัน คือ สวรรค์ มนุษย์ นรก เห็นกันหมดทั้งเทวดา มนุษย์ สัตว์นรกสัตว์เดียรัจฉาน เปรต อสุรกาย ต่างเห็นกันและกันด้วยตาเนื้อ เป็นอัศจรรย์ด้วยพุทธานุภาพเมื่อเห็นความอัศจรรย์นั้นต่างเกิดมหาปีติ พากันตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า เพราะเห็นพุทธานุภาพนั้น บางคัมภีร์ถึงกับกล่าวว่า แม้แต่มด ซึ่งเป็นสัตว์เดียรัจฉานยังมีความรู้สึกนึกคิดที่จะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วย วันนั้นจึงเรียกว่า "วันพระพุทธเจ้าเปิดโลก"

     ในขณะที่มหาชนกำลังเกิดมหาปีติอยู่นั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดสรรพสัตว์ที่มาถวายการต้อนรับพระองค์ในครั้งนั้น ทั้งมนุษย์และเทวาได้เข้าถึงพระธรรมกายถึง 30 โกฏิ นี่เป็นเรื่องจริงที่เล่าขานยาวนานมาถึง 2,550 กว่าปีแล้ว


4. พุทธปาฏิหาริย์ 3,500 อย่าง
      พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพสังฆานุภาพ เป็นอานุภาพที่ไม่มีประมาณ เพราะเป็นอจินไตยอยู่เหนือวิสัยของผู้ที่ใจยังไม่หยุด จะเข้าใจได้ด้วยการนึกคิดด้นเดาเอาตามหลักตรรกวิทยา หรือศาสตร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้ก็ไม่ได้ เพราะเป็นศาสตร์เฉพาะของผู้รู้แจ้งเท่านั้น ผู้ที่ทำจิตให้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย มักจะประสบกับอานุภาพของพระรัตนตรัยอยู่เสมอ เจอแต่เรื่องอัศจรรย์จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะสิ่งอัศจรรย์จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากใจเราหยุดนิ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระรัตนตรัย เราก็จะมีความบริสุทธิ์ มีอานุภาพตามไปด้วยเพราะไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่หรือเทียบเท่าพระรัตนตรัยได้

       พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน รัตนสูตร ว่า

      "ยาวตา ภิกฺขเว สตฺตา อปทา วา ทฺวิปทา วา จตุปฺปทา วา พหุปฺปทา วา รูปิโน วา อรูปิโน วา สญฺญิโน วา อสญฺญิโน วา เนวนาสญฺญินาสญฺญิโน วา ตถาคโต เตสํ  อคฺคมกฺขายติ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ

      ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสัตว์ทั้งหลายมีประมาณเท่าใด ไม่มีเท้าก็ดี 2 เท้าก็ดี 4 เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ด มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดีมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบัณฑิตกล่าวว่าเป็นยอดของสัตว์เหล่านั้น"

      พระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แผ่ขยายไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระองค์ทรงสร้างบารมีมา 20 อสงไขยแสนมหากัป เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากวังวนแห่งทุกข์ เข้าถึงความสุขในอายตนนิพพาน เมื่อตรัสรู้แล้วทรงโปรดสรรพสัตว์ทุกหมู่เหล่า ทั้งมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม พระองค์สามารถสั่งสอนให้บรรลุธรรมได้หมด เพราะทรงเป็นสัพพัญู ผู้หยั่งรู้ในทุกสิ่ง

     สมัยแรก ๆ ในการนำประทีปแห่งธรรมไปจุดความสว่างในใจของเหล่าเวไนยสัตว์พระองค์ทรงใช้วิธีการ อนอยู่ 3 อย่าง ที่เรียกว่า ปาฏิหาริย์ 3 เพื่อลดทิฏฐิมานะผู้เห็นผิด ให้กลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้อง และยึดสัจธรรมที่เป็นสาระแก่นสาร ปาฏิหาริย์ทั้ง 3 อย่างได้แก่อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์ ดังนั้นพระองค์จึงเป็นบรมครูของมนุษย์และเทวา ที่ไม่มีใครจะยิ่งกว่า หรือเสมอเหมือนได้เลย

      สมัยแรก ๆ ที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมใหม่ ๆ ทรงตั้งพระทัยว่าจะเสด็จไปโปรดพระเจ้าพิมพิสารที่แคว้นมคธ ระหว่างทางพระพุทธองค์เสด็จถึงตำบลอุรุเวลาเสนานิคมทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์มากถึง 3,500 อย่าง เพื่อให้ชฎิลละความเห็นผิด ในวันแรกที่เสด็จไปถึง อุรุเวลกัสสปะให้พระองค์ไปพักในโรงไฟซึ่งมีพญานาคอยู่ พญานาคไม่พอใจจึงบังหวนควันใส่พระองค์ พระองค์บังหวนควันตอบ เมื่อพญานาคสู้ไม่ได้ ก็พ่นไฟที่มีความร้อนแรงใส่ทันทีแต่น่าอัศจรรย์ว่า ไฟไม่อาจระคายพระวรกายของพระองค์แม้เพียงน้อยนิด พระพุทธองค์
บันดาลไฟต้านทานไว้ ไฟได้พวยพุ่งลุกโพลงท่วมโรงบูชาไฟ

      รุ่งเช้า พวกชฎิลเห็นพระพุทธองค์จับพญานาคใส่ในบาตร ชฎิลเหล่านั้นเกิดความอัศจรรย์ใจ แต่ยังมีทิฏฐิว่า ถึงจะเก่งอย่างไรก็ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เช่นตน คืนต่อมาท้าวมหาราชทั้งสี่เสด็จจากสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาเฝ้าพระองค์ จากนั้นพระอินทร์ก็เสด็จลงมา ทำให้บริเวณที่พักของพวกชฎิล ว่างไ วเหมือนเวลากลางวัน พวกชฎิลเกิดความอัศจรรย์ใจพากันมาไต่ถามพระพุทธองค์ว่า ผู้ที่มาเยี่ยมพระองค์เป็นใคร ทำไมจึงมีรัศมีกายสว่างไสวเหลือเกิน ครั้นรู้ความจริงแล้ว ก็ยังไม่ยอมละทิฏฐิอยู่ดี

      บางวัน ชฎิลมานิมนต์ให้พระพุทธองค์ไปฉันอาหาร พระองค์ทรงให้เหล่าชฎิลล่วงหน้าไปก่อนส่วนพระองค์จะตามไปทีหลัง เมื่อชฎิลไปแล้ว พระองค์ได้เหาะไปเก็บผลหว้าซึ่งเป็นผลไม้ประจำชมพูทวีป จากนั้นเสด็จไปประทับนั่งรอก่อน บางครั้งพระองค์เสด็จเหาะไปเก็บดอกปาริฉัตรบน วรรค์ชั้นดาวดึงส์มาให้เหล่าชฎิลดู ทำให้ชฎิลเกิดความอัศจรรย์ใจ แต่ก็ยังมีทิฏฐิมานะว่า ถึงอย่างไร มณะนี้ก็ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เช่นตน

     บางคราวเมื่อชฎิลจะบูชาไฟ ต้องช่วยกันหาฟนมาผ่าให้เป็นกอง ๆ ถ้าฟนท่อนใหญ่ผ่าไม่ได้ เมื่อไปขอความช่วยเหลือจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ผ่าเพียงครั้งเดียวเท่านั้นได้ฟืนถึง 500 ท่อน ครั้นถึงคราวจะก่อไฟ ไฟก็ไม่ติด แต่เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสบอกว่า ให้จุดได้แล้ว ทันทีที่สิ้นพระสุรเสียงแห่งพระพุทธองค์ไฟก็ติดทั้ง 500 กอง พร้อม ๆ กัน และเมื่อจะเลิกบูชาไฟ อยากจะดับก็ดับไม่ได้ ต้องมาขอร้องให้พระพุทธองค์ช่วย ท่านก็ดับไฟทั้ง 500 กองนั้นพร้อมกันเป็นอัศจรรย์ แต่พวกชฎิลก็ยังคงมีทิฏฐิมานะเช่นเดิม

      วันหนึ่ง เกิดพายุใหญ่ฝนตกหนัก ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน เหลือเพียงบริเวณรอบ ๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับเท่านั้น พระองค์เสด็จจงกรมไปมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฝ่ายชฎิลต่างคิดว่า สพระมหาสมณะคงถูกน้ำพัดไปแล้ว จึงพากันเอาเรือพายเที่ยวตามหาพระองค์ เมื่อไปถึงบริเวณที่พักของพระองค์ ต่างเกิดความอัศจรรย์ที่น้ำไม่ท่วมบริเวณนั้น พวกชฎิลได้ทูลเชิญให้พระองค์เสด็จขึ้นทรงเรือ พระพุทธองค์เสด็จเหาะขึ้นไปประทับนั่งบนเรือ ชฎิลต่างสรรเสริญว่า พระมหาสมณะนี้เป็นผู้มีฤทธานุภาพมากจริงหนอ นอกจากนี้พระองค์ยังทรงแสดงปาฏิหาริย์อย่างอื่นอีกมาก เพื่อให้เหล่าชฎิลเริ่มคลายทิฏฐิมานะ กลับมาเลื่อมใสพระองค์เพิ่มขึ้น

      เมื่อแสดงปาฏิหาริย์หลาย ๆ อย่างไปแล้ว พระองค์ทรงดำริว่า โมฆบุรุษเหล่านี้ มัวคิดแต่ว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ ไม่ได้ยอมรับความจริงเลย จึงตรัสว่า "ดูก่อนกัสสปะ ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ทั้งยังไม่พบทางที่จะเป็นพระอรหันต์ แม้ปฏิปทาของท่านที่จะไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ก็ไม่มี ท่านอย่ามัวถือทิฏฐิมานะอยู่เลย ทิฏฐิของพวกท่านจะทำให้ท่านและมหาชนไปสู่มหานรก ทนทุกข์ทรมานในอบายอีกนับภพนับชาติไม่ถ้วน"

     อุรุเวลกัสสปะได้ฟังดังนั้นเกิดความสังเวชสลดใจ เพราะรู้ว่าตนเองยังเป็นผู้มากไปด้วยราคะ โทสะ โมหะอยู่ จึงซบศีรษะลงที่พระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลขอบวชเป็นสาวกของพระพุทธองค์ เมื่อน้องชายทั้ง องที่มีบริวารอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำ รู้ว่าพี่ชายบวชแล้วจึงพากันออกบวชตามด้วย

      จากนั้นพระบรมศาสดาได้ตรัสอาทิตตปริยายสูตรให้ภิกษุทั้ง 1,000 รูป ว่าเบญจกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ทั้งหลาย เป็นของร้อน ร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ และไฟคือโมหะ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเศร้าโศก การพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก หรืออยู่ร่วมกับผู้ไม่เป็นที่รักก็เป็นของร้อน จึงควรละความยึดมั่นถือมั่นในสังขารร่างกายนี้ และยกใจขึ้นสู่นิพพาน

      ภิกษุทั้ง 1,000 รูป ได้ปล่อยใจไปตามกระแ พระธรรมเทศนา ดำเนินจิตเข้าไปในหนทางสายกลาง ได้รู้เห็นความเป็นจริงของสังขารร่างกายว่าเป็นของร้อน ร้อนเพราะกิเลสราคะ โทสะ โมหะแผดเผาอยู่ ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายก็คลายความกำหนัดความยึดมั่นถือมั่น เมื่อคลายความถือมั่น จิตก็หลุดพ้น ทันทีที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาจบ ทุกท่านต่างได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์กันทั้งหมด

      จะเห็นได้ว่า กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงสั่ง อนใครคนใดคนหนึ่ง ให้เกิดความเลื่อมใสและตั้งใจลงมือปฏิบัติธรรมได้นั้น ต้องใช้กุศโลบายต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ให้เห็นถึงฤทธานุภาพอันไม่มีประมาณ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจผู้ฟังแสดงธรรมอย่างพอเหมาะพอดีแก่จริตอัธยาศัยของผู้ฟัง ทำให้มีผู้บรรลุธรรมตามพระองค์นับไม่ถ้วน นอกจากนี้พระองค์ยังเป็นยอดนักเสียสละ หากรู้ว่าใครมีบารมีที่พร้อมจะเข้าถึงธรรมพระองค์จะเสด็จไปโปรดโดยไม่เห็นแก่ความยากลำบากแต่อย่างใด

      ฉะนั้น การที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย เห็นคุณค่าและความสำคัญของการยึดพระรัตนตรัยเป็น สรณะ นับว่าเป็นผู้มีบุญลาภอันประเสริฐแล้ว แต่ชาวโลกอีกหลายพันล้านคน ยังไม่รู้ว่าอะไรคือที่พึ่งที่แท้จริงของชีวิต ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของนักศึกษา ที่จะต้องไปทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรผู้นำบุญ แนะนำให้เขาได้รู้เส้นทางธรรม ให้มาสร้างบารมีเช่นเดียวกับพวกเรา เขาจะได้มีชีวิตที่ปลอดภัยไปทุกภพทุกชาติ

 

 

*----------------------------------------------------------------------------------------------------------*
หนังสือ PD 007 พุทธธรรมทีปนี 1
หนังสือเรียน DOU หลักสูตร Pre-Degree

 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0034624179204305 Mins