การล้างพิษเมื่อครั้งพุทธกาล
สมัยนี้เราต้องใช้เวลาไปกับการทำมาหากิน อาหารที่รับประทานอยู่ทุกวัน ก็ไม่ทราบว่าจะสะอาดเพียงใด แต่ก็ต้องรับประทานเข้าไป ด้วยเวลาอันรีบเร่ง และการงานที่รัดตัว
จนบางทีลืมดูสุขภาพตัวเองว่าเป็นอย่างไร สังขารที่เราต้องอาศัยทำความดี และประกอบสัมมาอาชีพยังแข็งแรงดีอยู่ไหม สิ่งที่ตกค้างในร่างกายจะเป็นคุณหรือโทษ และเมื่อมีส่ิงไม่พึงประสงค์ในร่างกาย
ปัจจุบันการล้างพิษได้รับความนิยมมาก เพราะคนในยุคนี้ ค่อนข้างกังวลเรื่องสุขภาพ แต่ความจริงแล้วเรื่องการล้างพิษไม่ได้มีความนิยมแพร่หลายเฉพาะในยุคปัจจุบันเท่านั้น แม้ในครั้งพุทธกาลก็เช่นเดียวกัน
ช่องทางการขับพิษออกจากร่างกาย ในสมัยพุทธกาลมีการขับพิษออกจากร่างกายด้วยวิธีการขับออกทางปัสสาวะ อุจจาระ และเหงื่อ
การขับพิษออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
ก่อนอื่นเราจะต้องดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ เพื่อไม่ให้สารพิษคั่งค้างในร่างกาย คนในยุคนี้ส่วนใหญ่ตกอยู่ในภาวะเร่งรีบ เดี๋ยวประชุม เดี๋ยวเดินทาง กลัวรถติดจะอั้นปัสสาวะลำบากจึงดื่มน้ำน้อยบ้าง อั้นปัสสาวะบ้าง
ผลก็คือสารพิษคั่งค้างในร่างกาย บางรายถึงขั้นเกิดตุ่มคันตามผิวหนัง เพราะฉะนั้น การปัสสาวะคือหลักการขับสารพิษออกจาก ร่างกายโดยธรรมชาติอย่างง่าย ๆ โดยเราไม่ควรฝืนธรรมชาติ และ ควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 2,500-3,000 ซีซี. ก็จะดีต่อสุขภาพมาก
การขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ
การอุจจาระ คือ การขับของเสียออกจากร่างกาย เป็นการปรับสมดุลร่างกายอีกทางหนึ่ง คนที่ท้องผูกบ่อย ๆ สารพิษก็จะคั่งค้างในร่างกาย
การขับของเสียทางอุจจาระไม่ได้ขับสารพิษที่มองเห็นออกมาเพียงเท่านั้น แต่ยังปรับสมดุลอุณหภูมิภายในร่างกายอีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการที่ช่วยปรับธาตุไฟให้การทำงานของร่างกายสมดุล ถ้าสังเกตดูจะพบว่า บางคนเวลารับประทานของเย็นมาก ๆ สักพักจะท้องเสีย พอได้ถ่ายท้องแล้วจะรู้สึกสบายตัวขึ้น นี่ก็คือการปรับธาตุไฟในตัวนั่นเอง
ในครั้งพุทธกาล มีคราวหนึ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ท้องผูก พระองค์ตรัสกับพระอานนท์ว่า ให้ไปขอยาถ่ายจากหมอชีวกโกมารภัจจ์ พอหมอชีวกโกมารภัจจ์ทราบข่าวท่านก็คิดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ละเอียดอ่อน จะถวายยาถ่ายทั่วไปนั้นหาควรไม่ ท่านจึงนำก้านบัว 3 ก้านมาอบด้วยสมุนไพรหลายชนิด แล้วมอบให้พระอานนท์นำไปถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อการสูดดม
โดยเมื่อสูดดมก้านบัว 1 ก้าน จะช่วยให้ถ่าย 10 ครั้ง จากนั้นเว้นระยะให้ร่างกายปรับตัวจึงสูดก้านบัวอีก 1 ก้าน ถ่ายอีก 10 ครั้ง สูดดมหมดทั้ง 3 ก้าน จะถ่าย 30 ครั้งแล้วจึงหาย ครั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสูดดมก้านบัวก็ขับถ่ายออกมาจริง ๆ ทำให้เบาเนื้อเบาตัว ถือว่าเป็นสูตรยาถ่ายที่แปลกมาก ๆ
การขับพิษออกจากร่างกายทางเหงื่อ
ในครั้งพุทธกาลเคยมีเหตุเกิดขึ้น ณ กรุงเวสาลี พระพุทธศาสนาแผ่ขยายออกไปในวงกว้าง ญาติโยมมีศรัทธาต่อพระพุทธศาสนามากขึ้นเรื่อย ๆ ทายก ทายิกา หรืออุบาสก อุบาสิกาต่างก็ สรรหาอาหารที่ปรุงแต่งอย่างประณีตนำมาถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระภิกษุสงฆ์ฉันแล้วทำให้เกิดสารพิษคั่งตามร่างกาย
น่าสังเกตว่าอาหารธรรมชาติตามชนบทที่ไม่ถูกปรุงแต่งมาก มีสารพิษไม่มากเท่ากับอาหารที่มีการปรุงแต่งประดิดประดอย ทั้งข้าวที่สีแล้วสีอีก ทั้งเครื่องปรุงต่าง ๆ มากมาย ทั้งผงชูรส สีผสมอาหาร ยิ่งมีการปรุงแต่งมากอาหารก็ยิ่งมีสารพิษมาก สำหรับใครที่ชอบกินอาหารตามภัตตาคารหรูบ่อย ๆ พึงระวังให้มาก ยิ่งอาหารรสเลิศประเภทสเต็กหรือเนื้อย่างหากกินบ่อยๆ ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ
หมอชีวกโกมารภัจจ์เป็นหมอที่เก่งกาจมาก พอท่านเห็นลักษณะผิวพรรณ อากัปกิริยาของพระภิกษุสงฆ์โดยภาพรวม ก็ดูออกเลยว่าตอนนี้ความเป็นอยู่ของพระภิกษุสงฆ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เริ่มมีสารพิษคั่งตามร่างกายมากขึ้น
ท่านจึงกราบทูลพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขออนุญาตให้พระภิกษุสงฆ์ทำที่จงกรมและเรือนไฟที่จงกรมไว้สำหรับให้พระภิกษุสงฆ์ได้ออกกำลัง เดินไปมา พร้อมกับทำสมาธิไปด้วยเพื่อให้เหงื่อออก ส่วนเรือนไฟคือซาวน่าในปัจจุบันนั่นเอง
ทำได้โดยการสร้างอาคารขึ้นมาแล้วตั้งเตาตรงกลาง มีท่อต่อออกไปข้างนอกเพื่อระบายควัน และมีรางน้ำวางไว้เพื่อปรับอุณหภูมิภายในห้องให้ไม่แห้งจนเกินไป ให้พอชื้น ๆ เป็นการอบร่างกายเพื่อขับเหงื่อออกมาให้มากเป็นพิเศษ
“จงกรม” และ “เรือนไฟ” เป็นวิธีการขับสารพิษออกทางเหงื่อที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล โดยหลักการไม่ได้มีอะไรใหม่ เป็นเพียงวิธีการช่วยขับสารพิษออกทางเหงื่อ เราควรพยายามดูแลตัวเองให้มาก ๆ ไม่ใช่ว่ารับสารพิษเข้าไปในร่างกายเต็มที่แล้วถึงค่อยไปหาวิธีการขับออก
แต่เราควรดูแลร่างกาย เลือกกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ อาหารที่มีการปรุงแต่งไม่มากเกินไป พยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่มีสีผิดธรรมชาติ หรือมีรสผิดธรรมชาติ เช่น เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด เป็นต้น
ปัจจุบันสารพิษปะปนมากับพืชผักตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก ทั้งยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมีต่าง ๆ พืชผักล้วนมีสารพิษปะปนคั่งค้างมาตั้งแต่ต้น ยิ่งเรานำมาปรุงแต่งเข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้สารพิษเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้น เราควรเน้นกินอาหารธรรมชาติ ยิ่งเป็นอาหารออร์แกนิกปลอดสารพิษยิ่งดี แล้วออกำลังกายสม่ำเสมอ อาจจะอบซาวน่าบ้างเป็นครั้งคราว ไม่ต้องทำทุกวันเป็นกิจวัตร จนถึงขั้นฝืนระบบการทำงานของร่างกายตามธรรมชาติ
การขับพิษออกจากร่างกายด้วยวาจาสัตย์
นอกจากการขับพิษออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ และเหงื่อแล้ว การขับพิษออกจากร่างกายด้วยการใช้วาจาสัตย์ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ
การขับพิษออกจากร่างกายด้วยวาจาสัตย์ คือ การขับพิษ ออกจากร่างกายด้วยอำนาจสัจกิริยา สัจวาจา ยกตัวอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงออกบวชเป็นดาบสอยู่ ในป่ากว่า 50 ปี วันหนึ่งดาบสเดินทางเข้ามาเยี่ยมเพื่อนในเมือง พอดีกับที่ลูกชายของเพื่อนถูกงูกัด เพื่อนของดาบสร้องขอความช่วยเหลือว่า
“ท่านดาบสช่วยหน่อยเถิด ลูกชายของข้าพเจ้าถูกงูกัด อาการแย่แล้ว” ดาบสรับคำแต่ตนไม่ใช่หมอจะทำอย่างไรได้ จึงตัดสินใจยื่นมือไปจับศีรษะลูกชายของเพื่อนแล้วตั้งสัจวาจาว่า
“ข้าพเจ้าออกบวชเป็นดาบส พอใจในการบรรพชาอยู่แค่ 7 วันแรกเท่านั้น ก่อนบวชนั้นมุ่งมั่น แต่พอพบความลำบาก ในป่าผ่านไป 7 วัน ใจไม่อยากบวชต่อ แต่เมื่อได้ตั้งใจแล้วก็อดทนเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้กว่า 50 ปีแล้ว ด้วยอำนาจสัจจะนี้ ขอพิษงูคลายไปเถิด ขอความสวัสดีจงมีแด่มานพน้อยผู้นี้”
พอดาบสอธิษฐานจบปรากฏว่า พิษงูตั้งแต่ช่วงคอขึ้นไป ตกไปในแผ่นดินหมด มานพน้อยลืมตาเรียกแม่ได้ ดาบสจึงกล่าวกับเพื่อนต่อไปว่า “ข้าพเจ้าช่วยได้แค่นี้ ท่านจงรับช่วงต่อเถิด” ฝ่ายเพื่อนดาบสเห็นดังนั้นก็ทำสัจวาจาบ้าง เอามือวางทาบที่หน้าอกลูกชายแล้วกล่าวว่า
“บางทีมีนักบวชจากป่ามาขอพักอาศัย ข้าพเจ้าดูกิริยาอาการความสำรวมแล้วใจไม่อยากให้พัก แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธเลย ด้วยอำนาจสัจวาจานี้ขอความสวัสดีจงมีแด่บุตรชายของข้าพเจ้า ขอให้พิษร้ายคลายไปเถิด”
พอสิ้นเสียงพิษร้ายตั้งแต่ช่วงเอวขึ้นไปก็ตกไปในแผ่นดิน ลูกชายลุกขึ้นมานั่งได้แต่ช่วงขายังขยับไม่ได้ เขาจึงให้ภรรยามาช่วยต่อภรรยายื่นมือมาแตะขาท่อนล่างของบุตรชายพร้อมกับบอกสามีอย่างเหนียมอายว่า
“ข้าพเจ้าจะตั้งสัจวาจาแล้ว พี่ออกไปข้างนอกก่อนได้ไหม สัจวาจานี้พูดต่อหน้าพี่ไม่ได้” สามีตอบ ภรรยาของตนไปว่า
“ไม่เป็นไร เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว น้องจง ตั้งสัจวาจาเถิด”
ภรรยาได้ฟังดังนั้นจึงตั้งสัจวาจาว่า
“งูไม่เป็นที่พอใจของ บุตรชายข้าพเจ้าฉันใด สามีข้าพเจ้าก็ไม่เป็นที่พอใจของข้าพเจ้าฉันนั้น แต่ข้าพเจ้าก็อดทนอยู่ด้วยกันมาตลอด ด้วยอำนาจสัจวาจานี้ขอพิษร้ายจงคลายไปเถิด ขอความสวัสดีจงมีแก่บุตรชายข้าพเจ้า”
พอนางพูดจบปรากฏว่าพิษในขาช่วงล่างก็ตกลงไปในแผ่นดิน ลูกชายหายจากพิษร้าย นี่คือการล้างพิษด้วยอำนาจสัจวาจา เราอาศัยอำนาจความสัตย์ขจัดพิษได้ ถ้าผู้ที่ตั้งความสัตย์นั้นเป็นผู้ที่มีบุญในตัวเพียงพอ ประพฤติตนเป็นคนดีโดยปกติ มีศีลธรรม มีทั้งบุญในอดีตและบุญปัจจุบัน
ประการต่อมาเมื่อตั้งความสัตย์ คือ สามารถตัดใจกล่าวความจริงได้โดยไม่หวาดกลัวต่อผลกระทบ เรื่องนี้ดูผิวเผินเหมือนง่าย แต่จริง ๆ ไม่ง่ายเลย ยกตัวอย่าง ดาบสบวชมา 50 กว่าปี จะให้พูดความจริงต่อหน้าเพื่อนนั้นไม่ง่ายเลย อาจกลัวเพื่อนไม่นับถือศรัทธา แล้วจะนำเรื่องไปพูดต่อ ๆ กัน
แต่ดาบสก็ตัดใจพูดความจริง การปฏิบัติเช่นนี้ต้องใช้กำลังใจอย่างมากในการตั้งสัจวาจา เป็นการรวมกำลังบุญที่ตัวเองมีอยู่ พุ่งเป้าไปเพื่อการล้างพิษให้กับบุคคลที่ตัวเองต้องการช่วยเหลือผลบุญจึงส่งผลแรงเป็นพิเศษ
ที่สำคัญตัวผู้รับการช่วยเหลือก็ต้องมีบุญเพียงพอด้วย เมื่อวิบากกรรมที่ตามมาส่งผลเริ่มเบาบางลงไปแล้ว พอบุญของผู้อื่นมาช่วยหนุนก็ส่งผลให้หลุดพ้นปลอดภัย
ในยุคสมัยนี้ วิธีการล้างพิษแบบนี้ไม่ค่อยมีใครได้ปฏิบัติ แต่เราไม่ควรมองข้าม ไม่เฉพาะกรณีล้างพิษเท่านั้น แม้ในเรื่องอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน การตั้งสัจวาจาจะส่งผลอย่างไม่น่าเชื่อ ให้เราลองเอาวิธีการล้างพิษในพระพุทธศาสนาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลไปลองใช้กันดู แล้วขอให้ปลอดโปร่ง ชีวิตมีความสุข แข็งแรงถ้วนหน้ากันทุกคน
เจริญพร
พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ