ติโรกุฑฑกัณฑสูตร
ใช้สวดอนุโมทนา ในงานศพหรืองานทำบุญอุทิศแก่ผู้ล่วงลับ
ติโรกุฑเฑสุ ติฏฐันติ สันธิสิงฆาฏะเกสุ จะ
ท๎วาระพาหาสุ ติฏฐันติ อาคันต๎วานะ สะกัง ฆะรัง,
ฝูงเปรตมาสู่เรือนของตน ยืนอยู่ภายนอกฝาเรือนบ้าง
ณ ทาง ๔ แพร่งและทาง ๓ แพร่งบ้าง ใกล้บานประตูบ้าง ;
ปะหุเต อันนะปานัมหิ ขัชชะโภชเช อุปฏฐิเต,
ครั้นเมื่อข้าวและนํ้า ของเคี้ยวและของบริโภคเป็นอันมากตั้งไว้แล้ว ;
นะ เตสัง โกจิ สะระติ,
ญาติไร ๆ ของเปรตเหล่านั้น ระลึกไม่ได้ ;
สัตตานัง กัมมะปัจจะยา,
เพราะกรรมของสัตว์ทั้งหลายเป็นปัจจัย ;
เอวัง ทะทันติ ญาตีนัง เย โหนติ อะนุกัมปะกา
สุจิง ปะณีตัง กาเลนะ กัปปิยัง ปานะโภชะนัง,
ชนเหล่าใดเป็นผู้เอ็นดู ชนเหล่านั้นย่อมให้น้ำควรดื่ม
และโภชนะอันสะอาด ประณีต เป็นของควร (อุทิศ) เพื่อญาติทั้งหลาย อย่างนี้ว่า :-
อิทัง โว ญาตีนัง โหตุ,
ทานนี้ จงถึงแก่ญาติทั้งหลาย ;
สุขิตา โหนตุ ญาตะโย,
ขอญาติทั้งหลาย จงเป็นสุขเถิด ;
เต จะ ตัตถะ สะมาคันต๎วา ญาติเปตา สะมาคะตา,
และพวกญาติ ผู้ละโลกนี้ไปแล้วเหล่านั้น พร้อมกันมาประชุมในสถานที่ให้ทานนั้น ;
ปะหุเต อันนะปานัมปิ สักกัจจัง อะนุโมทะเร,
อนุโมทนาโดยเคารพในข้าวและน้ำเป็นอันมากว่า ;
จิรัง ชีวันตุ โน ญาตี เยสัง เหตุ ละภามะ เส,
เราทั้งหลาย ได้สมบัติเช่นนี้เพราะญาติเหล่าใด ขอญาติเหล่านั้นของพวกเราจงเป็นอยู่นานเถิด ;
อัมหากัญจะ กะตา ปูชา,
บูชาอันทายกทั้งหลายทำแล้วแก่เราทั้งหลาย ;
ทายะกา จะ อะนิปผะลา,
และทายกทั้งหลาย ก็หาไร้ผลไม่ ;
นะ หิ ตัตถะ กะสิ อัตถิ,
อันที่จริง ในเปรตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม ;
โครักเขตถะ นะ วิชชะติ,
ไม่มีโครักขกรรม (ปศุสัตว์เลี้ยงโค) ;
วะณิชชา ตาทิสี นัตถิ,
ไม่มีการค้าขายเช่นนั้น ;
หิรัญเญนะ กะยากะยัง,
ไม่มีการแลกเปลี่ยนด้วยเงิน ;
อิโต ทินเนนะ ยาเปนติ เปตา กาละกะตา ตะหิง,
ผู้ทำกาลกิริยาละไปแล้ว ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในเปรตวิสัยนั้นด้วยทานที่ญาติให้แล้วในโลกนี้ ;
อุณณะเต อุทะกัง วุฏฐัง,
น้ำฝนตกลงในที่ดอน ;
ยะถา นินนัง ปะวัตตะติ,
ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ;
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ,
ทานที่ทายกให้แล้วแต่มนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้น ;
ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง,
ห้วงน้ำเต็มด้วยน้ำ ย่อมยังสมุทรสาครให้เต็มเปียม ฉันใด ;
เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ,
ทานที่ทายกให้แล้วแต่มนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายฉันนั้น ;
0 *อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมิตตา สะขา จะ เม,
บุคคลมาระลึกถึงอุปการะอันท่านได้ทำแล้วแก่ตนในกาลก่อนว่า,
ผู้นี้ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้ทำกิจนี้ของเรา ผู้นี้เป็นญาติเป็นมิตร เป็นเพื่อนของเรา ดังนี้ ;
*นิยมสวดตั้งแต่นี้ไปจนจบ
เปตานัง ทักขิณัง ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนุสสะรัง,
ก็ควรให้ทักษิณาทาน เพื่อผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้ว ;
นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยาวัญญา ปะริเทวะนา,
การร้องไห้ก็ดี การเศร้าโศกก็ดี หรือการร่ำไรรำพันอย่างอื่นก็ดีบุคคลไม่ควรทำทีเดียว ;
นะตัง เปตานะมัตถายะ,
เพราะว่าการร้องไห้เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติทั้งหลายผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ;
เอวัง ติฏฐันติ ญาตะโย,
ญาติทั้งหลายย่อมตั้งอยู่อย่างนั้น ;
อะยัญจะ โข ทักขิณา ทันนา,
ก็ทักษิณานุปทานนี้แล อันท่านให้แล้ว ;
สังฆัมหิ สุปะติฏฐิตา,
ประดิษฐานไว้ดีแล้วในสงฆ์ ;
ทีฆะรัตตัง หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ,
ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วนั้น ตลอดกาลนาน ตามฐานะ ;
โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต,
ญาติธรรมนี้นั้น ท่านได้แสดงให้ปรากฏแล้ว ;
เปตานะ ปูชา จะ กะตา อุฬารา,
และการบูชาอันยิ่ง ท่านก็ได้ทำแล้ว แก่ญาติทั้งหลายผู้ละโลกนี้ไปแล้ว ;
พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง,
กำลังแห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าท่านได้เพิ่มให้แลัวด้วย ;
ตุมเหหิ ปุญญัง ปะสุตัง อะนัปปะกันติ.
บุญไม่น้อย ท่านได้ขวนขวายแล้ว ดังนี้แล.