จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๖
คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
“อนึ่ง ภิกษุใดขอจีวรต่อคหบดีก็ดี คหปตานีก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นอกจากสมัยเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ สมัยในคำนั้นดังนี้ ภิกษุมีจีวรถูกชิงไปก็ดี มีจีวรหายก็ดีนี่คือสมัยในคำนั้น”
เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
“ภิกษุขอจีวรต่อคฤหัสถ์ผู้ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณาได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์เว้นแต่มีสมัยที่จะขอได้คือเวลาภิกษุมีจีวรอันโจรลักไป หรือมีจีวรอันฉิบหายเสีย”
อธิบายความโดยย่อ
คำว่า ผู้มิใช่ญาติ ได้แก่คนที่ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกันทางมารดาหรือทางบิดาตลอดเจ็ดชั่วคน หมายถึงวงศ์สกุลที่สืบสายโลหิตกัน ๗ ลำดับ โดยตนเองเป็นลำดับกลาง สูงขึ้นไป ๓ ลำดับ คือ พ่อ ปู่ ทวด ต่ำลงมาจากตัวเอง ๓ ลำดับ คือ ลูก หลาน เหลน เมื่อรวมกับตัวเองแล้วก็เป็นเจ็ดชั่วคน หรือเจ็ดชั่วโคตร
คำว่า ปวารณา หมายถึงการพูดให้ขอได้การเปิดโอกาสให้ขอได้ คือยินยอมให้ภิกษุขอหรือเรียกร้องปัจจัย ๔ ได้ตามสะดวก โดยพูดหรือนิมนต์ไว้ล่วงหน้า
คนที่มิได้พูดมิได้เปิดโอกาสไว้อย่างนี้ชื่อว่า ผู้มิใช่ปวารณา
คำว่า มีจีวรถูกชิงไป คือ จีวรของภิกษุถูกชิงไป โดยถูกพระราชาก็ดีพวกโจรก็ดีพวกนักเลงก็ดีหรือคนพวกใดพวกหนึ่งชิงเอาไป
คำว่า ผู้มีจีวรหายไป คือ จีวรของภิกษุถูกไฟไหม้ก็ดีถูกน้ำพัดไป ก็ดีถูกหนูหรือปลวกกัดกินก็ดีเก่าไปเพราะถูกใช้สอยก็ดี
เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อนี้
สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้เพราะมีเหตุเกิดขึ้นคือภิกษุได้ขอผ้าห่มหรือผ้านุ่งผืนหนึ่งจากลูกชายเศรษฐีซึ่งเกิดความเลื่อมใสแล้วปวารณาไว้โดยขอในระหว่างทาง แต่ลูกชายเศรษฐีขอผัดไว้ให้กลับบ้านก่อนเพราะไม่อาจนุ่งผ้าผืนเดียวกลับบ้านได้แต่ภิกษุรบเร้าจนต้องยอมถวายตามที่ปวารณาไว้ทำให้ลูกชายเศรษฐีต้องเดินกลับบ้านโดยมีผ้านุ่งผืนเดียว ที่ทรงบัญญัติเป็นพระวินัยไว้ก็เพื่อมิให้ภิกษุมีความอยากได้จนเกินเหตุ ไม่รู้การควรไม่ควร แม้เขาปวารณาไว้แต่มิใช่โอกาสที่จะขอ ก็ไม่ควรขอ เพราะทำให้เขาเดือดร้อนเฉพาะหน้าได้ทั้งเพื่อให้ภิกษุระมัดระวังในเรื่องการขอ อาจทำให้เสื่อมศรัทธาหรือเกิดความเดือดร้อนได้เมื่อไปขอต่อผู้มิใช่ญาติไม่รู้จักกัน หรือมิได้ปวารณาไว้
สิกขาบทนี้ทรงห้ามไว้เฉพาะไตรจีวรถ้าเป็นผ้าอย่างอื่นหรือเป็นของอื่น ไม่ได้ทรงห้ามไว้แต่ก็เมื่อต้องการที่จะขอ ก็ต้องระวังในการขอว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็นอย่างไร มิใช่ขอสิ่งที่ต้องการทุกอย่างตามใจชอบ เพราะทำให้เสียศรัทธาและสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ถูกขอได้
อนาปัตติวาร
ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ
(๑) ภิกษุขอในสมัย
(๒) ภิกษุขอต่อญาติ
(๓) ภิกษุขอต่อคนปวารณา
(๔) ภิกษุขอเพื่อประโยชน์แก่ภิกษุอื่น
(๕) ภิกษุซื้อมาด้วยทรัพย์ของตน
(๖) ภิกษุผู้วิกลจริต
(๗) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติหรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระอุปนันทศากยบุตร