จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๗
คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
“ถ้าคหบดีก็ดี คหปตานีก็ดี ผู้มิใช่ญาติ นำจีวรเป็นจำนวนมากมาปวารณาต่อภิกษุนั้น ภิกษุนั้นพึงยินดีจีวรมีอุตตราสงค์กับอันตรวาสกเป็นอย่างมากจากจีวรเหล่านั้น ถ้ายินดีเกินกว่านั้น เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
“ในสมัยเช่นนั้น จะขอเขาได้ก็เพียงผ้านุ่งผ้าห่มเท่านั้นถ้าขอให้เกินกว่านั้น ได้มาต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
อธิบายความโดยย่อ
สิกขาบทนี้มีเนื้อความค่อนข้างชัดเจน โดยต่อเนื่องกับสิกขาบทก่อน คือ เมื่อจีวรถูกแย่งชิงหรือถูกขโมยไป สูญหายหรือเสียหายไป ทรงอนุญาตให้ภิกษุขอจีวรได้โดยถือว่าขอในสมัย เมื่อเขานำจีวรมาถวาย ก็สามารถรับได้แต่ในการรับนั้นต้องรู้จักประมาณ มิใช่เห็นแก่ได้แบบเขาถวายเท่าไรก็รับไว้ทั้งหมด โดยทรงแนะนำไว้ว่า เมื่อจีวรหายไป ๓ ผืน พึงยินดีรับเพียง ๒ ผืน คือผ้าอุตตราสงค์(ผ้าห่ม) กับผ้าอันตรวาสก (ผ้านุ่ง) เท่านั้น หากหายไป ๒ ผืน พึงยินดีรับได้๑ ผืน แต่ถ้าหายไปผืนเดียว ไม่พึงยินดีรับเลย
เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อนี้
สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้เพื่อให้ภิกษุรู้จักประมาณตน ไม่เห็นแก่ได้โดยใช่เหตุแม้จะมีโอกาสได้มาก ก็พึงรับพอประมาณ ทั้งนี้เพื่อลดภาระในการดูแลรักษาและการนำติดตัวไป ซึ่งทรงแนะนำไว้ว่า การจาริกไปในที่ต่างๆ นั้น พึงทตัวเหมือนกับนกซึ่งนำไปเฉพาะขนปีกและหางเท่านั้น ทำให้เกิดความสะดวกและคล่องตัวด้วยประการทั้งปวง
อนาปัตติวาร
ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ
(๑) ภิกษุนำเอาไปด้วยคิดว่าจักนำจีวรที่เหลือมาคืน
(๒) คหบดีถวายด้วยบอกว่าจีวรที่เหลือเป็นของท่านรูปเดียว
(๓) คหบดีถวายมิใช่เพราะเหตุถูกชิงจีวรไป
(๔) คหบดีถวายมิใช่เพราะเหตุจีวรหาย
(๕) ภิกษุผู้ขอต่อญาติ
(๖) ภิกษุผู้ขอต่อคนปวารณา
(๗) ภิกษุซื้อมาด้วยทรัพย์ของตน
(๘) ภิกษุผู้วิกลจริต
(๙) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติหรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พวกภิกษุฉัพพัคคีย์