จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๕
คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
“อนึ่ง ภิกษุใดรับจีวรจากมือภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์เว้นไว้แต่แลกเปลี่ยน”
เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
“ภิกษุรับจีวรแต่มือนางภิกษุณีที่มิใช่ญาติเว้นไว้แต่แลกเปลี่ยนกัน ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์”
อธิบายความโดยย่อ
สิกขาบทนี้มีใจความชัดเจนแล้วโดยทรงห้ามมิให้ภิกษุรับจีวรจากมือนางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ด้วยมีต้นเหตุว่าพระอุทายีได้พูดขอผ้าอันตรวาสกคือผ้านุ่งจากนางอุบลวรรณาเถรีผู้เป็นพระอรหันต์ แม้นางจะปฏิเสธว่าพวกผู้หญิงจัดว่าเป็นแม่บ้าน หาลาภได้ยาก ทั้งผ้าอันตรวาสกผืนนี้ก็เป็นผืนสุดท้ายถวายไม่ได้แต่พระอุทายีก็รบเร้าจนภิกษุณีต้องถวาย ทำให้ภิกษุณีเดือดร้อนต้องไปหาผ้าใหม่จึงทรงบัญญัติเป็นพระวินัยไว้มิให้รับจีวรจากมือนางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
ต่อมา ภิกษุทั้งหลายตั้งข้อรังเกียจ ไม่รับจีวรแลกเปลี่ยนของภิกษุณีทั้งหลาย ภิกษุณีทั้งหลายจึงเพ่งโทษโพนทะนาว่าภิกษุรังเกียจไม่รับผ้าจีวรแลกเปลี่ยน พระพุทธองค์จึงทรงบัญญัติพระวินัยให้รับผ้าจีวรแลกเปลี่ยนของเพื่อนสหธรรมิกทั้งห้า คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรีได้
(สิกขมานา คือหญิงผู้กำลังศึกษา หมายถึงสามเณรีผู้มีอายุ ๑๘ ปีแล้ว อีก ๒ ปีจะมีอายุครบบวชเป็นภิกษุณี ช่วงนั้นภิกษุณีสงฆ์จะสวดให้สิกขาสมมติ ให้สมาทานสิกขาบท ๖ ข้อ คือข้อที่ ๑ ถึงข้อที่ ๖ แห่งสิกขาบท ๑๐ อย่างเคร่งครัดไม่ขาดเลยตลอด ๒ ปี หากขาดข้อใดข้อหนึ่งต้องสมาทานตั้งต้นใหม่อีก ๒ ปี เมื่อครบ ๒ ปีแล้ว ภิกษุณีสงฆ์จึงอุปสมบทให้ ขณะที่สมาทานสิกขาบท ๖ ข้อ ตลอดเวลา ๒ ปีนั้น เรียกว่า สิกขมานา)
เจตนารมณ์ของสิกขาบทข้อนี้
สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้ เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุไปเบียดเบียนภิกษุณีด้วยการขอสิ่งที่หาได้ยากสำหรับภิกษุณีโดยไม่เกรงใจหรือไม่ละอายใจ และให้มีน้ำใจรับแลกเปลี่ยนจีวรกันได้สำหรับสหธรรมิก เพื่อเกื้อกูลกันในกรณีที่ขาดแคลนจีวร หรือจีวรมีค่าต่างกัน
อนาปัตติวาร
ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ
(๑) ภิกษุรับจีวรของผู้เป็นญาติ
(๒) ภิกษุแลกเปลี่ยนกัน คือแลกเปลี่ยนจีวรดีกับจีวรเลว หรือจีวรเลวกับจีวรดี
(๓) ภิกษุผู้ถือวิสาสะ
(๔) ภิกษุผู้ขอยืม
(๕) ภิกษุผู้รับบริขารอื่นนอกจากจีวร
(๖) ภิกษุผู้รับจีวรของสิกขมานา
(๗) ภิกษุผู้รับจีวรของสามเณรี
(๘) ภิกษุผู้วิกลจริต
(๙) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติหรือพระอาทิกัมมิกะ ได้แก่ พระอุทายี