วรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค
ว่าด้วยภูตคาม
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑
คำแปลพระบาลีที่เป็นพุทธบัญญัติ
“เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะพรากภูตคาม”
เนื้อความย่อในหนังสือนวโกวาท
“ภิกษุพรากของเขียวซึ่งเกิดอยู่กับที่ ให้หลุดจากที่ต้องปาจิตตีย์”
อธิบายความโดยย่อ
คำว่า ภูตคาม ได้แก่ พืช ๕ ชนิด คือ พืชเกิดจากเหง้า พืชเกิดจากต้น พืชเกิดจากข้อ พืชเกิดจากยอด และพืชเกิดจากเมล็ด
คำนี้ตามรูปศัพท์แปลว่า บ้านผี คือที่สถิตของเทวดาประเภทหนึ่งที่เรียกว่ารุกขเทวดาแม้ต้นบัญญัติแห่งสิกขาบทนี้ก็เกิดขึ้นจากการที่ภิกษุไปตัดต้นไม้ที่มีรุกขเทวดาสิงอยู่ เทวดาเดือดร้อนแต่ไม่กล้าทำร้ายภิกษุเพราะกลัวบาป จึงไปกราบทูลพระพุทธองค์พระองค์ทรงประทานสาธุการว่าดีแล้วที่ไม่ฆ่าภิกษุรูปที่ตัดต้นไม้นั้น แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทนี้ขึ้น
ในที่ทั่วไปแปล ภูตคาม ว่า ของเขียว ได้แก่ ต้นไม้ ต้นหญ้า เถาวัลย์ เป็นต้น
คำว่า พราก หมายถึงการตัด การถอน การทำให้หลุดจากที่การต้มด้วยตนเอง หรือด้วยการใช้ให้ผู้อื่นทำ อันเป็นเหตุให้ภูตคามตาย ซึ่งชาวบ้านยุคนั้นถือว่าเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ
ท่านกำหนดว่า เมื่อพรากภูตคามคือของเขียว เป็นปาจิตตีย์ส่วนพืชพันธุ์ที่ถูกพรากจากที่แล้ว แต่ยังเป็นได้อีกเรียกว่า พีชคาม เมื่อพรากพีชคาม เป็นทุกกฏ
เจตนารมณ์ของสิกขาบทนี้
สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติไว้เพื่อป้องกันมิให้ภิกษุพรากของเขียวอันมีชีวะและมิให้ตัดต้นไม้อันเป็นภูตคาม เป็นการรักษาต้นไม้เข้าไว้มิให้ถูกตัดโค่นซึ่งหมายถึงเป็นการรักษาป่าและรักษาสิ่งแวดล้อมอันสำคัญของมนุษย์นั่นเอง
อนาปัตติวาร
ในสิกขาบทนี้ท่านแสดงภิกษุผู้ได้รับยกเว้นไม่ต้องอาบัติไว้คือ
(๑) ภิกษุกล่าวว่า ท่านจงรู้พืชนี้ท่านจงให้พืชนี้ท่านจงนำพืชนี้มา เรามีความต้องการด้วยพืชนี้ท่านจงทำพืชนี้ให้เป็นกัปปิยะ
(๒) ภิกษุไม่แกล้งพราก
(๓) ภิกษุทำเพราะไม่มีสติ
(๕) ภิกษุไม่รู้
(๖) ภิกษุผู้วิกลจริต
(๗) ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติหรือภิกษุอาทิกัมมิกะ ได้แก่ ภิกษุชาวเมืองอาฬวี