มนุษย์ยุคแรก
การจุติจากพรหมแล้วมาเกิดเป็นคน ตายปุ๊บเกิดปั๊บ แล้วโตทันที เป็นการเกิดแบบไม่ต้องมีพ่อมีแม่ การเกิดประเภทนี้ภาษาศาสนาของเราเรียก ว่าเกิดแบบโอปปาติกะ คือ เกิดแล้วโตทันทีเลย แบบฝ่ายบุญนี่เป็นอย่างนี้
ส่วนฝ่ายบาปก็มีเหมือนกัน อย่างพวกสัตว์นรก พอตายปุ๊บลงนรก โตพรวดเป็นสัตว์นรกเลย เพราะฉะนั้น เราอ่านพระไตรปิฎก เราไม่เคยเจอนะว่า ยมบาลเอานมมาป้อนสัตว์นรก ไม่มีหรอก มีแต่จับโยนลงกระทะทองแดง ทำชั่วเอาไว้มาก ต้องโดนอย่างนี้ การไปเกิดในนรกนั้น ก็เป็นการเกิดแบบโอปปาติกะเช่นกัน คือเกิดแล้วโตเลย
หลังจากที่กัปใหม่ได้เริ่มขึ้น บุญบาปที่เคยทำไว้ในภพในอดีตเริ่มให้ผล คือใครที่ภพในอดีตเป็นคนมักโกรธบ้าง เป็นคนที่ไม่เคยทำทานด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มบ้าง พวกนี้พอกายเริ่มหยาบขึ้น ผิวพรรณจากเดิมใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชร พอกายค่อยๆ กลายเป็นกายเนื้อ แต่ยังไม่ใช่เป็นเนี้ออย่างพวกเราอย่างนี้ มันค่อยๆ กลาย คือค่อยๆ หยาบลง จากโปร่งเบาเหมือนกันลูกโป่งฟองสบู่ ก็เริ่มแข็งขึ้นมา แล้วเริ่มค่อยๆ ขุ่นขึ้น พอค่อยๆ แข็งขึ้นมา ค่อยๆ ขุ่นขึ้นมา ด้วยอำนาจของง้วนดินนี่ ก็เกิดการเปรียบเทียบกันขึ้นคือ ใครที่ภพในอดีตเป็นคนมักโกรธ ไม่ค่อยทำทานด้วยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ผิวพรรณของเขาจะหยาบกระด้าง ไม่มีเงา ไม่มีนวล ส่วนพวกที่ให้ทานมาอย่างดี รักษาศึลมาอย่างดี ไม่เป็นคนมักโกรธ ผิวพรรณเขาก็จะผ่องใสกว่า พอไม่เหมือนกันเท่านั้นแหละ การรังเกียจ การดูถูก การเหยียดกันด้วยเรื่องผิวพรรณก็เกิดขึ้นมาตั้งแต่นั้นเลย นี่ขนาดจากพรหมมาเป็นคน ก็เริ่มเหยียดผิวกันเลย
เพราะฉะนั้น อย่าแปลกใจเลยนะว่า ในปัจจุบันนี้ก็ยังมีการเหยียดผิวกัน คนผิวขาวก็ดูถูกคนผิวเหลีอง คนผิวเหลืองก็ดูถูกคนผิวดำ ก็ว่ากันไป นี่มันดูถูก มันเหยียดผิวกันมาตั้งแต่ต้นกัปแล้ว แม้ตอนนี้ยังดูถูกกันอยู่ อย่าแปลกใจเลย เชื้อสายมันยังไม่หมด นี่เป็นอย่างนี้ เพราะคนเราน่ะ มักจะพยายามหาทางให้ตัวเองดีกว่าเขา ดังนั้นก็ดูถูกเขา เหยียดหยามเขา นี่เป็นอย่างนี้
แต่อย่างไรก็ตาม คนในยุคต้นกัปนั้นน่ะ ตัวโต เพราะจากพรหมมาเป็นคน ตัวเบ้อเร่อเลย ร่างกายแข็งแรง เพราะง้วนดินที่กินเข้าไปก็เป็นอาหารได้อย่างวิเศษ โดยไม่ต้องย่อยซึมซาบเอิบอาบเข้าไปได้ เลยตัวโตแข็งแรง แล้วอายุก็ยืนกันเป็นล้านๆปี พรหมนี่ทำไมอายุยืนหนักหนาอย่างนั้น เพราะสิงแวดล้อมยังไม่เป็นพิษ ยังไม่มีมลภาวะ นี่มาอย่างนี้มาด้วยเหตุมาด้วยผล
แล้วต่อมาคนพวกนี้ เนื่องจากมีการเหยียดผิวกัน มีการดูถูกกัน แน่นอน คนที่ถูกดูถูกก็มีการต่อต้าน มีอารมณ์กระทบกระทั่งกันขึ้นมา พอมีการต่อต้าน มีการกระทบกระทั่งเพราะถูกดูถูก มลภาวะก็เกิดขึ้น อากาศก็เริ่มไม่บริสุทธิ์ แผ่นดินก็เริ่มไม่บริสุทธิ์ แต่เกิดมาทีละนิดๆ นํ้าก็เริ่มไม่บริสุทธิ์ขึ้นมาทีละนิด เมื่อมลภาวะเกิดขึ้นนี่เอง ง้วนดินที่เคยเป็นอาหารได้ก็เสื่อมคุณภาพลง
ดูนะ...นึกดูถูกกันนี่แหละ ทำให้ของดีๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้เสื่อมคุณภาพได้ แต่การค่อยๆ เสื่อมลงนี้ก็ใช้เวลานานเป็นล้าน ๆ ๆ ปีนะ
การดูถูกกันนี่ไม่ดีเลย การเหยียดหยามกันไม่ดีเลย การยกตนข่มท่านไม่ดีเลย นี่เพราะสิ่งเหล่านี้ จงทำให้มลภาวะเกิดขึ้นในโลก