พระพรหมลงมาเกิด
โลกลุกไหม้เป็นหมอกเพลิง เป็นล้านๆๆๆปี ในที่สุดก็เย็น เมื่อเย็นแล้ว อย่างที่บอกเอาไว้ แผ่นดินก็หอม บัวพยากรณ์ก็เกิดขึ้น ง้วนดินสำหรับเป็นอาหารก็มี ถึงวันดีคืนดี ถึงจังหวะหนึ่ง พวกพรหมนั่นแหละ พรหมแต่ละท่านก็บุญไม่เท่ากัน เมื่อตอนเป็นมนุษย์สร้างบุญไว้ไม่เหมือนกัน พรหมมีหลายประเภท ประเภทหนึ่งเรียกว่า อาภัสสราพรหม คือพรหมที่มีแสงสว่างในตัวเอง ท่านคอยมองดูอยู่ พรหมพวกนี้ไม่ได้สร้างโลก แต่มองดูการเกิดของโลกอยู่
พออาภัสสราพรหมเห็นโลกเย็นลง แล้วก็มีกลิ่นหอมอย่างที่ว่า ก็ลงมาดูกัน ประกอบกับถึงคราวจะหมดบุญ จะต้องจุติจากพรหมลงมา พอเห็นง้วนดินที่มีกลิ่นหอมก็อยากจะลองชิมความอยากเกิดขึ้น ห้ามใจไม่อยู่หรอก ขนาดเป็นพรหมก็ห้ามใจไม่อยู่ ตอนเป็นพรหมน่ะ เหาะได้ อยู่ตามวิมานของตัวเองลอยอยู่ แม้โลกเป็นหมอกเพลิงก็ไหม้ไม่ถึง แต่เพราะความอยากรู้ อยากเห็นว่าโลกไหม้แล้ว บนแผ่นดินมีอะไร จึงเหาะลงมาดู พอเห็นง้วนดิน ก็อยากจะลองชิม พวกอยากรู้อยากเห็น ว่างั้น...
ปรากฏว่าพอชิมหมับเข้าไป เหตุร้ายเกิดขึ้นทันทีคือ เจ้าง้วนดินนั้นก็ซึมซาบเอิบอาบเข้าไปในร่างกาย แต่ว่าตอนนั้นน่ะ ตัวเองเป็นกายที่เป็นทิพย์นะ เป็นกายที่ละเอียด เป็นกายที่โปร่งบางเบาใส โปร่งบางยิ่งกว่าลูกโป่งฟองสบู่ ใสยิ่งกว่าเพชร แต่พอทดลองกินง้วนดินซึ่งเป็นธาตุหยาบกว่าเข้าไปเท่านั้น กายที่เป็นทิพย์ก็เสื่อมลง มีความหยาบขึ้น ฤทธิ์ที่มีอยู่ก็ค่อย ๆ ลดลงไป จนไม่สามารถจะเหาะกลับที่เดิมได้ เมื่อกายเป็นกายหยาบซะแล้ว หมดบุญส่วนละเอียดซะแล้ว คือถึงคราวจะต้องจุติจากพรหมมาเกิดเป็นมนุษย์นั้นเองรัศมีที่เคยสว่างไสวก็ลดลง ๆ จนกระทั่งความสว่างในตัวน้อยกว่าแสงของดวงอาทิตย์ จึงปรากฏให้เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ดวงดาว ปรากฏขึ้นมา และให้ความสว่างแก่โลก