๓.ความยั่งยืนแห่งคุณสมบัติของคนดี
๓.๑ เป้าหมายการเกิดเป็นมนุษย์
จากสัมมาทิฏฐิทั้ง ๑๐ ประการนี้เองทำให้ทราบว่า คนเราเกิดมาเพื่อสร้างความดีสร้างบุญบารมีไม่ทำความชั่ว จึงจะประสบแต่ความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า และหากทุ่มเททำความดี สั่งสมบุญบารมีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดไป ก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารอีก ด้วยเหตุนี้ผู้มีสัมมาทิฏฐิจึงเกิดปัญญาในการวางแผนชีวิต โดยการตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ถึง ๓ ระดับ
เป้าหมายชีวิต ๓ ระดับ คือ
• เป้าหมายชีวิตระดับต้น คือ ตั้งตนเป็นหลักฐานมั่นคงในชาตินี้
• ระดับกลาง คือ สั่งสมความดี มุ่งสู่สุคติโลกสวรรค์
• ระดับสูง คือ ทำพระนิพพานให้แจ้ง
๓.๒ วิธีทางบรรลุเป้าหมายชีวิตระดับต้นและระดับกลาง
เป้าหมายระดับต้น ๔ ประการ (อาศัย ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์) ดังนี้
. • ขยันทำมาหากิน (อุฏฐานสัมปทา) หาเป็น
• รู้จักเก็บทรัพย์ (อารักขสัมปทา) เก็บเป็น
• รู้จักเลือกคบคนดี (กัลยาณมิตตตา) ทั้งคบคนดีและสร้างเครือข่ายคนดีเป็น
• รู้จักใช้ทรัพย์ที่หามาได้อย่างเหมาะสม (สมชีวิตา) ใช้เป็น = มีรายได้เหลือ
วิธีปฏิบัติ ๔ ประการนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวพุทธ ตั้งแต่สมัยโบราณกาลว่า การปฏิบัติตามหลักหัวใจเศรษฐี ซึ่งมีคำย่อว่า อุ-อา-ก-ส (อุ-อา-กะ-สะ) คือ ถอดเอาคำและอักษรตัวหน้าของธรรม ๔ ประการมาเรียงกัน และถือว่าเป็นคาถาย่อของหัวใจเศรษฐี
เป้าหมายระดับกลาง ๔ ประการ (อาศัย สัมปรายิกัตถประโยชน์) ดังนี้
• ถึงพร้อมด้วยศรัทธา (สัทธาสัมปทา) เชื่อมั่นในพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ทำให้ตั้งใจทำความดี
• ถึงพร้อมด้วยศีล (ศีลสัมปทา) การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ เพราะเป็นบ่อเกิดแห่งโภคทรัพย์และความสุข
• ถึงพร้อมด้วยการเสียสละ (จากสัมปทา) ยิ่งสละมากบุญก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
• ถึงพร้อมด้วยปัญญา (ปัญญาสัมปทา) มีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา จนนำไปสู่การปฏิบัติใช้ในการดำเนินชีวิต เป็นต้น
วิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายทั้งสองระดับ ต้องเป็นแบบบูรณาการ
หมายความว่า ในขณะที่ทำมาหากินเพื่อให้ตั้งหลักฐานได้ คนเราก็จำเป็นต้องศึกษาและ ปฏิบัติธรรม ตลอดจนสั่งสมบุญควบคู่กันไปด้วย นั่นคือขณะที่พยายามปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายชีวิตระดับต้น คนเราก็จำเป็นต้องปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายชีวิตระดับกลางควบคู่กันไปด้วย
เป้าหมายชีวิตระดับต้นนั้น เราจะเห็นผลในชาตินี้ ส่วนเป้าหมายชีวิตระดับกลางจะออกผลต่อเมื่อเราละโลกนี้ไปแล้ว
เหตุที่ต้องปฏิบัติทั้ง ๒ ระดับควบคู่กันไป
• ความตายเป็นสิ่งไม่แน่นอน
• บุญที่ตนทำเองย่อมเป็นมิตรติดตามไปเสมอ
• ชนะอุปสรรคได้ด้วยอานุภาพบุญ
๓.๓ รายละเอียดวิธีปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายชีวิตระดับต้น
๑. ขยันทำมาหากิน มีสาระสำคัญ ๖ ประเด็น คือ
• ต้องไม่ประกอบอาชีพต้องห้าม ๕ ประการ ได้แก่ ค้าอาวุธ ค้ามนุษย์ ค้าสัตว์เพื่อฆ่า ค้าของมึนเมา และค้ายาพิษ
• ต้องประกอบอาชีพสุจริตด้วยความขยันหมั่นเพียร
• ต้องหมั่นเพิ่มพูนหาความรู้ให้ทันสมัย
• ต้องรู้จักคบคนดีเป็นหุ้นส่วน
- บุคคลตาบอด (ขาดปัญญาหาทรัพย์ + ขาดปัญญารู้ธรรมะ)ต้องช่วยเหลือสงเคราะห์เท่าที่เราทำได้
- บุคคลตาเดียว (มีปัญญาหาทรัพย์ + ขาดปัญญารู้ธรรมะ) ต้องพยายามหลีกให้ห่างไกล
- บุคคลสองตา (มีปัญญาหาทรัพย์ + มีปัญญารู้ธรรมะ) ต้องพยายามคบหามาเป็นหุ้นส่วนทำงานด้วย
• ต้องสร้างเครือข่ายคู่ค้าที่เป็นคนดี
• ต้องหาสาเหตุเบื้องลึกแห่งความสำเร็จหรือล้มเหลวของธุรกิจให้ชัดเจน
- สาเหตุหยาบ (การบริหารจัดการ, การตลาด ฯลฯ)
- สาเหตุละเอียด (วณิชชสูตร)
- โกงบุญตนเองทั้งหมด จึงขาดทุน
- โกงบุญตนเองบางส่วน ทำให้ได้กำไรน้อย
- ทำบุญตามกำลัง จึงได้กำไรตามเป้าหมาย
- ทำบุญเต็มกำลัง จึงได้กำไรเกินเป้าหมาย
๒. รู้จักเก็บรักษาทรัพย์ มีสาระสำคัญ ๓ ประเด็น คือ
• เก็บรวบรวมทรัพย์ให้พ้นจากอันตราย
• ต้องรู้จักถนอมโภคทรัพย์ให้จีรังยั่งยืน
• ต้องรู้จักฝังขุมทรัพย์
- เก็บเป็นทรัพย์หยาบใช้ในชาตินี้
- เก็บเป็นทรัพย์ละเอียด
บุคคลที่เก็บไม่เป็น มีพฤติกรรม ๔ ประการ (กุลสูตร)
• ของหายไม่หา
• ของเสียไม่ซ่อม
• ไม่ประมาณในการใช้
• ตั้งคนทุศีลเป็นใหญ่
๓. สร้างเครือข่ายคนดี มีสาระสำคัญ ๓ ประเด็น คือ
• ตนเองต้องวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นคนดี
• เลือกคบเฉพาะคนดี
• หมั่นศึกษา สังเกต ซึมซับคุณความดี ๔ ประการ คือ สัมปรายิกัตถประโยชน์
หลักการและวิธีปฏิบัติเพื่อสร้างเครือข่ายคนดี
• ตัวเราเองต้องเป็นคนดี
• ตัวเราเองต้องมีศีล ๕ เป็นนิจ
• ตัวเราต้องปฏิบัติเกื้อกูลตัวเอง ด้วยสัมปรายิกัตถประโยชน์
• ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลผู้อื่นให้เกิดสัมปรายิกัตถประโยชน์
เครือข่ายคนดี มีประโยชน์อย่างไร
• มีเครือข่ายคนดีเป็นรั้วบ้าน
• เป็นโอกาสดีแห่งการบรรลุเป้าหมายชีวิต
• คนดีคือขุมทรัพย์ที่เปี่ยมด้วยความเอื้ออาทร
• เป็นการพัฒนาสัมมาทิฏฐิให้แก่รอบยิ่งขึ้น
๔. รู้จักใช้ทรัพย์อย่างเหมาะสม มีสาระสำคัญ ๒ ประเด็น คือ
• ต้องรู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์
• ต้องไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ก็ไม่ฝืดเคือง
การบริหารรายเหลือให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยการใช้ทรัพย์เพื่อ
• บำรุงตนเอง
• สร้างเครือข่ายกัลยาณมิตรในชุมชน
• ป้องกันภัย และเผื่อฉุกเฉิน
• ทำพลี ๕ (ญาติ / แขก / อุทิศให้ผู้ตาย / ถวายหลวง / เทวดา)
• ทำบุญกับเนื้อนาบุญ
ประเด็นสำคัญ คือ การหาเป็นจนถึงการใช้เป็นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีเครือข่ายกัลยาณมิตรเท่านั้น
๓.๔ เครือข่ายกัลยาณมิตร
คุณลักษณะสำคัญอย่างน้อย ต้องประกอบด้วย ๓ ประการ คือ
๑. ตัวเราเองมีสัมมาทิฏฐิ เข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคง คือ มีคุณสมบัติของกัลยาณมิตร หรือมีความเป็นมิตรแท้อย่างสมบูรณ์พร้อม
๒. เครือข่ายแต่ละคนมีสัมมาทิฏฐิ เข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคง หรือถ้ายังไม่มั่นคง ก็ต้องรู้จักตัวเอง และมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนให้มีสัมมาทิฏฐิเข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคง ด้วยการพยายามซึมซับคุณความดีจากกัลยาณมิตรในเครือข่ายคนดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
๓. ต้องร่วมกันทำกิจกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและสังคม เพื่อประโยชน์ให้แก่สังคม เพื่อพัฒนาเครือข่ายกัลยาณมิตรให้แข็งแกร่ง เพื่อขยายเครือข่ายกัลยาณมิตรให้กว้างขวางออกไปเรื่อย ๆ และเพื่อพัฒนาสัมมาทิฏฐิในใจของกัลยาณมิตรแต่ละคนให้แก่รอบยิ่งขึ้น
ประเด็นสำคัญ คือ การหาเป็นจนถึงการใช้เป็นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีเครือข่ายกัลยาณมิตรเท่านั้น
๓.๕ มิตรเทียมและมิตรแท้
๑. รู้จักมิตรแท้ ๔ กลุ่ม และมิตรเทียม ๔ กลุ่ม ดังตาราง
๒. รู้จักลักษณะของมิตรแท้ - มิตรเทียม อาจเรียกว่า ตะแกรงร่อนมิตรแท้ ๑๖ อย่าง และมิตรเทียม ๑๖ อย่าง (ดูตารางด้านล่างประกอบ)
ต้องใช้ตะแกรงอย่างไรจึงได้ประโยชน์สูงสุด
• ร่อนสํารวจพฤติกรรมของตนเอง
• ร่อนสำรวจพฤติกรรมของบุคคลใกล้ชิด
การแก้ไขข้อเสียของคน มีหลักปฏิบัติ ๒ ประการ
• เก็บรักษาและถ่ายทอดความดีให้แก่กันและกัน
• ป้องกันไม่ให้ความชั่วแพร่กระจายออกไปสู่ผู้อื่น
๓.๖ สรุปท้ายบท
มิจฉาทิฏฐิ แม้ไม่ปลูกฝังก็เกิดเองได้เหมือนวัชพืช แม้ไม่มีใครปลูกก็ขึ้นงอกงามเองได้ ต้องปราบกันอยู่เสมอ ส่วนสัมมาทิฏฐิ แม้ได้ฟังธรรมก็ใช่จะเกิดความเข้าใจทุกคน และแม้บางคนจะเข้าใจสัมมาทิฏฐิทั้ง ๑๐ ประการแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถก่อให้เกิดประสิทธิภาพใด ๆ เพราะยังเป็นสัมมาทิฏฐิที่อยู่ในระดับ ความเข้าใจ เท่านั้น คือ ยังไม่เข้าไปอยู่ในใจจนเกิดเป็นลักษณะนิสัยประจำตัวประจำใจ หากตกอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่อำนวยบางอย่างก็อาจมีพฤติกรรมเป็นมิตรเทียมได้เหมือนกัน แต่เมื่อไรสัมมาทิฏฐิเข้าไปอยู่ในใจอย่างมั่นคงแล้ว จะมีประสิทธิภาพก่อให้เกิดปัญญาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า แท้ที่จริงแล้วเป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือสร้างบุญบารมี เพื่อกำจัดอาสวะกิเลสให้หมดออกไปจากใจ อันเป็นผลให้บรรลุมรรคผลนิพพาน หรือทำพระนิพพานให้แจ้ง หลุดพ้นจากสังสารวัฏโดยเด็ดขาด