๕. กุญแจไขความสำเร็จของทิศ ๖
๕.๑ การปฏิรูป ๒ วัย
บุคคลผู้มีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเราก็คือ ทิศ ๖ เพราะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงนิสัย ทั้งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิและสัมมาทิฏฐิ การปลูกฝังสัมมาทิฏฐิจึงมีความสำคัญที่ต้องทำตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อป้องกัน ควบคุมกิเลสที่มีอยู่ในใจไม่ให้เติบโตกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิเข้าไปตั้งมั่นในใจของเด็กเสียก่อน จึงแบ่งการปฏิรูปมนุษย์เพื่อปลูกฝังสัมมาทิฏฐิไว้ ๒ วัย คือ
• วัยเด็ก ตั้งแต่ช่วงทารกจนจบการศึกษาพร้อมที่จะประกอบอาชีพ
• วัยผู้ใหญ่ เมื่อประกอบอาชีพแล้ว
การปฏิรูปในวัยเด็ก
กิเลสภายในใจเด็กที่แสดงผลในวัยนี้ตามลำดับ คือ โทสะ ด้วยอาการส่งเสียงร้องแบบไม่คิดชีวิต โลภะ ด้วยการแย่งของเล่น หวงของ โมหะ ด้วยการแกล้งสัตว์จับสัตว์มาทรมาน เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้หากพ่อแม่ไม่ห้ามปราม อาจเพราะคิดว่า เด็กยังเยาว์ย่อมทำให้เด็กเกิดความเข้าใจว่า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สามารถทำได้ กลายเป็นการปลูกฝังมิจฉาทิฏฐิตั้งแต่วัยเด็กไป
ดังนั้นผู้มีบทบาทสูงสุดในการปฏิรูปช่วงนี้จึงเป็นบิดามารดา (ทิศเบื้องหน้า) และครูอาจารย์ (ทิศเบื้องขวา) ซึ่งจะทำได้ดีต้องอาศัยความร่วมมือจากพระ (ทิศเบื้องบน) อาศัยหลักการ วิธีการตามอย่างที่กล่าวมาแล้วในบทที่ ๔
การปฏิรูปในวัยผู้ใหญ่
การปฏิรูปในวัยผู้ใหญ่นั้น อาศัยตนเองเป็นหลัก โดยมีกัลยาณมิตร (บุคคลในทิศทั้ง ๖) คอยชี้แนะและให้กำลังใจ โดยมีรูปแบบที่ต่างฝ่ายต่างซึมซับเอาความดีของกันและกัน ในขณะเดียวกันก็หาทางกำจัดความชั่วของตนเองให้หมดสิ้นไป และไม่ให้ความชั่วถ่ายทอดไปคนอื่น (ทิศ ๖ ของตน)
โดยสรุป ผู้มีหน้าที่และบทบาทสำคัญในการปฏิรูปมนุษย์ทุกคน ก็คือทิศ ๖ ของคน ๆ นั้นนั่นเอง
๕.๒ สาเหตุความล้มเหลวของทิศ ๖
ตามที่กล่าวมาว่า ทิศ ๖ มีผลมากต่อการปฏิรูปมนุษย์ แต่เราก็จะพบปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งแก่เด็ก และแก่ผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมผิดศีล ผิดธรรม ผิดวัฒนธรรมอันดีงามของชาติพฤติกรรมเหล่านี้เองย่อมแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการทำหน้าที่ของตนเองตามแต่ละทิศ ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวของทิศ ๖ นั่นเอง
สำหรับสาเหตุความล้มเหลวของทิศ ๖ นี้ แบ่งออกได้ ๒ ประการ คือ
๑. ไม่ได้ปฏิบัติตามอริยวินัย
เพราะความไม่รู้ เนื่องจากไม่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม ทำให้เกิดผลเสียคือ
• โดยส่วนตัว ตัวเองจะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกิเลส กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลไป ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนตามทิศ ๖ ได้
• โดยส่วนรวม ผู้คนในสังคมไม่มีการถ่ายทอดสัมมาทิฏฐิอย่างจริงจังจากชนรุ่นหนึ่งไปสู่ชนรุ่นหนึ่ง อันเป็นผลให้มิจฉาทิฏฐิมีอิทธิพลครองเมืองไปโดยปริยาย
๒. ขาดศิลปะในการครองใจคน
ศิลปะการครองใจคน หมายถึง การทำตัวให้เป็นคนน่ารัก น่าเคารพนับถืออยากเป็นมิตร อยากคบหา น่าเข้าใกล้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนวิธีการทำตัวให้เป็นคนน่ารักไว้แล้ว ใน “สังคหวัตถุธรรม” มี ๔ ประการ คือ
๒.๑. การให้ (ทาน)
มุ่งการให้และการแบ่งปันสิ่งของในสิ่งที่ไม่มีโทษ เกิดประโยชน์ ด้วยน้ำใจเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารีที่มีต่อกัน
๒.๒ เจรจาไพเราะ (ปิยวาจา หรือเปยยาวัชชะ)
หมายถึง การรู้จักใช้คำพูดเป็นลักษณะคำพูดจึงควรมีองค์ประกอบ คือ
• สุภาพ ฟังสบายหู ฟังแล้วชื่นใจ
• กล่าวด้วยเมตตาจิต
• เป็นคำจริง มีประโยชน์ ถูกกาลเทศะ
• แสดงความจริงใจและปรารถนาดีอย่างแท้จริง
• ทำให้ผู้ฟังเกิดกำลังใจทำความดี
• ไม่ส่อเสียดให้คนแตกแยกกัน
• ไม่ทำให้ผู้ฟังท้อแท้ หมดกำลังใจ
สาเหตุที่ทำให้เจรจาไม่ไพเราะ (อัปปิยวาจา)
ด้านทิฏฐิ เพราะวาจามาจากความคิด ความคิดมาจากความเห็น ดังนั้นถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคลเสียแล้ว จึงมักพูดไม่ดี พูดอัปปิยวาจา
ด้านการปลูกฝังอบรม การพูดไม่ไพเราะ เกิดจากการปลูกฝังอบรมผ่านทางบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือทิศ ๖ ที่แวดล้อมตัวเรา
ด้านอารมณ์ เกิดจากขาดการปลูกฝังสัมมาทิฏฐิมาแต่เยาว์วัย ทำให้ใจคุ้นเคยกับอารมณ์ร้อน ไม่แจ่มใส
วิธีฝึกให้มีปิยวาจา
• คบหาสมาคมกับกัลยาณมิตร เพื่อให้คุ้นเคยกับการใช้ปิยวาจา
• หลีกห่างคนพาล
• ศึกษาและปฏิบัติธรรม ด้วยการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ทำให้ใจผ่องใส เห็นโทษของการกล่าวอัปปิยวาจา เห็นคุณของการกล่าวปิยวาจา
๒.๓ บำเพ็ญประโยชน์ต่อกัน (อัตถจริยา)
หมายถึง ชี้แนะด้วยคำพูดและการกระทำที่เป็นประโยชน์ ก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง โดยมีรูปแบบที่มุ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ
จุดมุ่งหมายการบำเพ็ญประโยชน์
จุดมุ่งหมายหลัก คือ เสริมความรู้ด้านศิลปวิทยาแก่ผู้ขาดแคลน
จุดมุ่งหมายรอง คือ ผลพลอยได้จากจุดมุ่งหมายหลัก เช่น ได้แนวทางการสร้างอาชีพ สร้างรายได้ สร้างความสัมพันธ์ หรือจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม เป็นต้น
๒.๔ วางตนสม่ำเสมอ (สมานัตตตา)
หมายถึง การวางตัวให้เป็นคนน่ารัก น่าเคารพ ลักษณะการวางตัวนั้นสามารถแบ่งได้ ๓ ลักษณะ คือ
๑. ทําตนเสมอต้นเสมอปลาย
คือ ปฏิบัติตัวเองในสิ่งที่ดีอย่างคงเส้นคงวาในทิศทั้ง ๖ ไม่ว่าตนเองจะมีสถานภาพเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตามสามารถฝึกฝนได้หากมีความเข้าใจในกฎแห่งกรรมและกฏไตรลักษณ์
๒. วางตนเหมาะสมกับฐานะ ภาวะ บุคคล สถานการณ์
คือ ปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะที่ตนเป็นในทิศ ๖ เช่น ในฐานะพ่อ แม่ ลูก หรือครู อาจารย์ เป็นต้น
๓. ทำตนให้สมกับที่เป็นคน
คือ ประพฤติตนเป็นคนดีที่โลกต้องการ ได้แก่ มีสัมมาทิฏฐิ มีสำนึกรับผิดชอบ ๔ ประการ มีโยนิโสมนสิการและหิริโอตตัปปะ
ผลเสียของการขาดความรู้เรื่องสังคหวัตถุธรรม
เกิดโรคใจแห้ง หรือแล้งน้ำใจในหมู่ทิศ ๖ ซึ่งมีอาการ ๓ ประการ คือ
• ไม่มีเหตุผล ต่างใช้อารมณ์เป็นใหญ่ ไม่คำนึงศีลธรรม
• ขาดความรับผิดชอบ ทำให้ทำชั่วได้อย่างกว้างขวาง หลากหลายรูปแบบ
• ขาดหิริโอตตัปปะ กล้าทำความชั่ว ทำบาป เมื่อมีโอกาส แม้รู้ว่าไม่ดีก็ตาม
๖. สาระสำคัญกุญแจไขความสำเร็จของทิศ ๖
หากทิศ ๖ ประการปฏิบัติตามสังคหวัตถุธรรมทั้ง ๔ ประการ ย่อมทำให้การทำหน้าที่ตามแต่ละทิศเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ทิศทั้ง ๖ สามารถทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างดี จึงกล่าวได้ว่า สังคหวัตถุธรรม คือลิ่มสลักใจของตัวเรากับทิศ ๖ และถือเป็นบทฝึกสำคัญยิ่งของสัมมาทิฏฐิ ๑๐ หมายความว่าช่วยให้สัมมาทิฏฐินั้นเข้าไปตั้งอยู่ในใจได้อย่างถาวร