ผลชาดก
ชาดกว่าด้วยความสามารถในการดูผลไม้
สถานที่ตรัสชาดก
.....เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี
สาเหตุที่ตรัสชาดก
ครึ่งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เจ้าของสวยผลไม้ซึ่งมีฐานะดีคนหนึ่ง ได้กราบทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ให้เสด็จไปฉันภัตตาหารที่บ้านสวนของเขา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว จึงเสด็จนำพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ไปยังบ้านของชาวสวนผู้นั้น เมื่อไปถึงแล้วเจ้าของบ้านไปจัดพุทธอาสน์ให้พระพุทธองค์ประทับฉันภายในเรือนของตน ส่วนพระภิกษุที่ตามเสด็จ ได้แยกจัดอาสนะไว้ภายในสวนผลไม้อันร่มรื่นด้านหนึ่ง พร้อมทั้งสั่งคนสวนว่า เมื่อพระภิกษุฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้ว ให้นำท่านเดินชมสวนให้ทั่วและเก็บผลไม้งามๆ ถวายพระภิกษุตามสมควรด้วย
ดังนั้น เมื่อพระภิกษุทั้งหลายฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว คนสวนจึงนิมนต์พระภิกษุทั้งหมดให้ออกเดินชมสวน ซึ่งอุดมด้วยไม้ผลนานาชนิด บางพวกก็ออกผลกระย้าไปทั้งต้นน่ารับประทาน บางพวกก็มีผลดกห้อยย้อยเรี่ยดิน บางพวกก็กำลังแตกกิ่งก้านดอกใบงามสะพรั่งน่าชมยิ่งนัก พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ออกปากชมและซักไซ้ไต่ถามถึงไม้พันธุ์โน้น พันธุ์นี้อยู่ไม่ขาด
คนสวนผู้นี้ นอกจากจะมีความสามารถในการทำสวนแล้ว ยังมีความชำนาญเป็นเลิศในการดูผลไม้ ขึ้นชื่อว่าผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นมะม่วง มะพร้าว ขนุน หรือผลไม้ชนิดใด ไม่ว่าจะอยู่ใกล้แค่มือเอื้อมถึง หรืออยู่บนยอดสูงจนแหงนมองคอตั้งบ่า เพียงยืนมองดูห่างๆ เขาก็สามารถบอกได้ว่า ผลใดแก่พอดีเก็บกินได้ ผลใดห่าม ผลใดเนื้อบาง เนื้อหนา รสชาติเอร็ดอร่อยพิเศษอย่างไร เมื่อเก็บลงมาปอก ผ่าถวายให้พระภิกษุขบฉัน ผลไม้นั้นก็เป็นอย่างที่เขากล่าวทุกประการ
พระภิกษุทั้งหลายต่างอัศจรรย์ในความสามารถของคนสวนคนนี้มาก พากันกล่าวชมไม่ขาดปาก กระทั่งเมื่อกลับไปยังเชตวันมหาวิหารแล้วก็ยังอดพูดถึงไม่ได้ ทั้งยังกราบทูลให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบอีกด้วย พระพุทธองค์จึงทรงระลึกชาติแต่หนหลังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสว่า
“ ในอดีต ก็มีคนที่ดูผลไม้ที่สามารถเหมือนกัน เก่งกันขนาดนำชีวิตของคนจำนวนมากให้รอดพ้นความตายมาได้ทีเดียว ”
แล้วทรงนำ ผลชาดก มาตรัสเล่า มีเนื้อความดังนี้
เนื้อหาชาดก
ในอดีตกาล สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี มีพ่อค้าหนุ่มคนหนึ่ง คุมกองเกวียน ๕๐๐ เล่ม บรรทุกสินค้าไปขายยังต่างถิ่น เมืองไกลเป็นประจำ ในการเดินทางครั้งหนึ่ง ระหว่างทางจะต้องผ่านดงไม้มีพิษ พ่อค้าหนุ่มจึงเรียกประชุมลูกน้องแล้วกล่าวเตือนให้ระมัดระวังตัวกันให้ดี ของทุกอย่างในดงไม้พิษนี้ อย่าได้เก็บกิน หรือเด็ดดมเป็นอันขาด พยายามเดินให้ห่างๆ ไว้เป็นดี ไม่ว่ามันจะสุก มันจะสวย มันจะส่งกลิ่นหอมยั่วยวนขนาดไหน ก็อย่าไปสนใจ
นอกจากนั้น ไม้พิษบางอย่างก็มีลักษณะคล้ายต้นไม้ ที่เราเคยเห็นทั่วๆ ไป จนแทบจะดูไม่ออกเลย ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของพวกเราทุกๆ คนตั้งแต่บัดนี้ไป ขอให้กินเฉพาะอาหารและน้ำที่บรรทุกเกวียนมาเท่านั้น ของอย่างอื่นอย่าไปแตะต้องเด็ดขาด หากมีอะไรสงสัยให้ถาม
บรรดาลูกน้องทั้งหลาย ต่างรับคำและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งขบวนเกวียนได้ผ่านดงไม้พิษนั้นออกไปถึงเขตหมู่บ้านหนึ่ง มองไปที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน จะเห็นต้นมะม่วงมากมายออกผลดกระย้าน่าเก็บกิน ลูกเกวียนบ้างคนถกเถียงกันว่าจะเด็ดกินหรือไม่ เพราะอาจเป็นผลไม้มีพิษตามที่นายบอก จึงเด็ดลูกมะม่วงมาถือไว้เผื่อไปถามนาย
มีลูกเกวียนคนหนึ่งใจร้อนเด็ดมะม่วงมาก็กัดกินทันที พอมะม่วงตกถึงท้องพิษก็ออกฤทธิ์ ลูกเกวียนคนนั้นหน้าเขียว ปากเบี้ยว ตาเหลือก เอามือกุมท้อง ตัวงอบิดไปมา เพื่อนๆ ต่างพากันตกใจ และวิ่งไปตามเจ้านายมาพ่อค้าหนุ่มได้เดินมาพร้อมกับถือยาถอนพิษมาด้วย จึงให้กินยาได้ทันท่วงที
ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างปกติสุข จนกระทั่งอรุณรุ่งของวันใหม่ ขณะที่ลูกเกวียนทั้งหลายกำลังลุกขึ้นจากที่นอน บางคนกำลังทำธุระส่วนตัว ก็ได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่ พูดคุยกันอย่างชัดเจน คนกลุ่มนี้พูดคุยกันเรื่องที่พวกตนปลูกมะม่วงมีพิษเอาไว้ล่อพวกบรรดากองเกวียนที่แวะเวียนผ่านมาเส้นทางนี้ เมื่อพวกกองเกวียนกินเข้าไปแล้วก็เสียชีวิต แล้วพวกตนก็ปลดเอาสินค้าขอมีค่าต่างๆ ไปได้โดยง่าย
ครั้นเมื่อชาวบ้านเหล่านั้นเดินเข้ามาใกล้กองเกวียน ไม่เห็นมีใครตาย ก็ตกใจถึงกับพูดอะไรไม่ออก มีอยู่กลุ่มหนึ่งใจกล้ากว่าเพื่อน ได้ร้องถามว่าไม่มีใครสนใจเก็บมะม่วงนี้กินหรือ ลูกเกวียนตอบว่ามะม่วงมันมีพิษ ชาวบ้านกลุ่มนั้นแม้จะตกใจที่มีคนรู้ทัน แต่ก็อดสงสัยไม่ได้จึงเดินไปถามพ่อค้าหนุ่ม เขาจึงชี้แจงว่า ถึงมันจะไม่แตกต่างจากมะม่วงทั่วๆ ไป แต่ถ้ามันเป็นมะม่วงไม่มีพิษแล้ว ต้นสูงแค่เอื้อมใครๆ ก็คงมาเก็บไปหมดแล้ว ไม่ปล่อยให้ลูกดกเต็มต้นอย่างนี้ อีกอย่างมะม่วงพวกนี้ขึ้นอยู่ใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้าน มีคนเดินผ่านเข้าออกทั้งวัน แต่ไม่มีใครเก็บกินเลย แสดงว่าต้องมีพิษแน่นอน
แล้วพ่อค้าหนุ่มก็บอกต่อไปว่า พวกท่านไม่ควรหากินกันด้วยวิธีนี้เลย ควรคิดถึงชีวิตของคนอื่นบ้าง ลองคิดดูซิว่า ถ้าพวกเราไม่เห็นแก่ชีวิตท่าน ทั้งๆ ที่ท่านต้องการให้เราตาย ต้องการฉกชิงทรัพย์ที่เราหามาด้วยความเหนื่อยยาก ป่านนี้เราคงฆ่าพวกท่านไปแล้ว พวกท่านทำอย่างนี้เลี้ยงไปไม่ได้ตลอดหรอก แต่มีจะบาปติดใจไปตลอด คนอย่างเรานั้น ถ้าไม่แน่จริง คงคุมเกวียนเอาตัวรอดจนถึงป่านนี้ไม่ได้ แต่เราก็ยังเห็นแก่มนุษยธรรมไม่ทำร้ายพวกท่าน ด้วยหวังว่า พวกท่านจะมีมนุษยธรรม มีเมตตาต่อผู้เดินทางอื่นๆ ที่ผ่านมาบ้าง
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของพ่อค้าหนุ่มแล้ว ชาวบ้านจำนวนมาก รู้สึกสำนึกตัว รับปากว่าจะตั้งใจทำมาหากินด้วยความสุจริตต่อไป ส่วนพ่อค้าหนุ่มก็ออกเดินทางไปค้าขายของตนต่อไป
ประชุมชาดก
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส ผลชาดก จบแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
ลูกเกวียนทั้งหลาย ได้มาเป็นพุทธบริษัททั้ง ๔ ในชาตินี้
พ่อค้าหนุ่ม ได้มาเป็นพระองค์เอง
ข้อคิดจากชาดก
๑ . คนที่ฝึกตนเองจนมีจิตใจผ่องใสเป็นประจำ ไม่ว่าจะมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้น มักจะมีลางสังหรณ์จนจับจุดสังเกตได้ เพราะธรรมชาติของคนที่มีจิตใจผ่องใสนั้น จะมีความละเอียดอ่อนอยู่ในอารมณ์เป็นนิจ เมื่อกระทบสิ่งชั่วร้ายทีเป็นความหยาบย่อมรู้ได้ทันที แต่ถ้ามีจิตใจไม่ผ่องใส มีความหยาบเป็นปกติ เมื่อไปกระทบความชั่วร้ายที่เป็นความหยาบด้วยกัน จึงแยกไม่ออก แม้อันตรายอยู่ตรงหน้าก็ไม่รู้
การขัดเกลาจิตใจให้ผ่องใสเป็นนิจนั้น ทำได้โดยการตั้งใจฝึกสมาธิอย่างแน่วแน่ ต่อเนื่อง ไม่ท้อถอย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคนที่ได้ชื่อว่าใจใสจริงๆ ในระดับชาวบ้านนั้น ท่านว่าให้เอาคุณธรรม ๒ ประการ เป็นเครื่องวัด คือ
๑ . เมื่อถูกด่า แล้วไม่โกรธตอบ
๒ . เมื่อได้รับคำชมแล้ว ไม่ยิ้ม กลับตรองตามความเป็นจริงด้วยใจสงบ
๒ . สุภาษิตที่ว่า
“ ตนเตือนตนของตนให้พ้นผิด
ตนเตือนจิตตนได้ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนไม่ได้ใครจะเตือน
ตนแชเชือนใครจะช่วยให้ป่วยการ ”
นั้นเป็นหลักธรรมที่มีคุณค่ายิ่ง แต่คนบางคนสภาพจิตยังอ่อนแอ ยังต้องอาศัยกัลยาณมิตรช่วยตักเตือนบ้าง ยอดกัลยาณมิตรของทุกคนคือ
๑ . พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในที่นี้หมายถึง คำสอนของพระพุทธองค์
๒ . พ่อแม่ที่ประพฤติตนดี
๓ . ครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณธรรม
ข้อคิดจากชาดก
ผลชาดก
ชาดกว่าด้วยความสามารถในการดูผลไม้