อนาถบิณฑิกเศรษฐี

วันที่ 30 กค. พ.ศ.2568

30_7_68_39br%281%29.jpg

 

เหลือเชื่อ แต่เป็นจริง

โอวาทพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (หลวงพ่อธัมมชโย)

เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

 

อนาถบิณฑิกเศรษฐี

                   คราวนี้เรามามองดูท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นยอดอุปัฏฐาก เป็นผู้เลิศในฝ่ายอุบาสกที่สนับสนุนงานพระศาสนา หมายความว่าผู้ที่สนับสนุนงานพระศาสนาที่เป็นฝ่ายผู้ชายนี่น่ะ ท่านอยู่ข้างหน้า ถ้าฝ่ายหญิงก็ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา ในจำนวนฝ่ายหญิงทั้งหมดที่สนับสนุนงานพระศาสนา มหาอุบาสิกาวิสาขาได้สร้างมหาทานบารมีสนับสนุนอย่างมาก มากกว่าคนอื่นจึงมาอยู่ข้างหน้า ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญท่ามกลางพระอริยสาวก

 

                   ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนี่ท่านเป็นลูกของสุมนเศรษฐี หมายความว่าเวลาท่านลงมาเกิด ก็เข้าสู่ครรภ์มารดาที่เป็นภรรยาเศรษฐีใหญ่ทีเดียวคือเกิดมาก็มีทรัพย์สมบัติรองรับเอาไว้สำหรับให้สร้างบารมีต่อไป ภพในอดีตของท่าน ท่านเป็นคนธรรมดาอย่างพวกเราอย่างนี้แหละ ทำมาหากินเป็นปกติ แต่ท่านมีบุญลาภคือวันหนึ่งในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า พระปทุมุตตระ สมัยนั้นในชมพูทวีปหรือโลกใบนี้ มนุษย์มีศีล ๕ เป็นปกติ พระปทุมุตตรพุทธเจ้าท่านมีบารมีมาก มีพระสาวกมากมีพระอริยสาวกมากมาย ประชุมมาฆบูชามหาสมาคมครั้งหนึ่งก็เป็นล้านองค์ทีเดียว วันนั้นพระองค์ตรัสสรรเสริญอุบาสกท่านหนึ่งว่าเป็นผู้เลิศในการบริจาคทานสนับสนุนงานพระศาสนาให้เป็นที่ปรากฏแก่พุทธบริษัททั้งสี่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีในขณะที่ยังเป็นคนธรรมดาได้ยินได้ฟังเข้า ก็เกิดปีติเกิดความเลื่อมใส เพราะท่านสร้างบารมีมาในทางนี้ จะเป็นฝ่ายกองเสบียงสนับสนุนงานพระศาสนา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญพระอริยสาวกองค์ใดเป็นผู้เลิศทางไหนก็ตาม ท่านก็ยังเฉยๆ แต่พอได้ฟังพระองค์ตรัสสรรเสริญอุบาสกที่เป็นผู้เลิศในมหาทานบารมีสนับสนุนงานพระศาสนา ท่านนี้เกิดปีติทีเดียว ขนลุกชูชันและก็มีความตั้งใจปรารถนาอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง ท่านก็ได้รวบรวมทรัพย์ของตนและก็ชักชวนผู้อื่นด้วย สร้างมหาทานบารมีถวายสังฆทานโดยมีพระผู้มีพระภาคเจ้าพระปทุมุตตระทรงเป็นประธาน พร้อมด้วยพระอริยสาวกจำนวนมากนั้นตลอด ๗ วันไม่ได้ขาดเลยแม้แต่วันเดียว แล้วก็ตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่า ด้วยอานุภาพแห่งบุญที่เกิดขึ้นจากการสร้างมหาทานบารมีตลอดทั้ง ๗ วันนี้ ขอให้ได้เป็นผู้เลิศในฝ่ายอุบาสกผู้สนับสนุนงานพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับท่านอุบาสกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระปทุมุตตระได้ทรงสรรเสริญท่ามกลางพุทธบริษัทสี่นั้น

 

                   พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงสอดพระญาณดูว่า ที่สุดแห่งกำลังบุญของบุรุษผู้นี้ จะไปส่งผลให้ความปรารถนานั้นสำเร็จได้เมื่อไหร่ เมื่อทรงพบถึงที่สุดภาพนั้นแล้ว จึงตรัสแก่อุบาสกท่านนั้นเพื่อยังความปีติปราโมทย์ใจให้บังเกิดขึ้นว่า “ต่อไปในอนาคต เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าพระสมณโคดมมาตรัสรู้ เธอจะได้เกิดในตระกูลเศรษฐี มีสมบัติรองรับเอาไว้ให้ได้สร้างบารมี ดังที่ได้ปรารถนาเอาไว้” อุบาสกท่านนั้นได้ฟังก็เกิดปีติปราโมทย์ใจ ได้สั่งสมทานบารมียิ่งๆ ขึ้นไปจนกระทั่งหมดอายุขัย ท่องเที่ยวอยู่ใน ๒ ภูมิคือมนุษยโลกและเทวโลก เกิดมาเป็นมนุษย์ละโลกจากมนุษย์ก็ไปเป็นเทวดาเป็นชาวสวรรค์ วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกระทั่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราพระองค์นี้ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบาสกผู้นั้นจึงได้มาเกิดในสกุลของสุมนเศรษฐี มาอยู่ในรูปกายของลูกเศรษฐี ได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดและได้ชื่อว่าสุทัตตเศรษฐีส่วนเหตุที่ได้ชื่อว่าอนาถบิณฑิกเศรษฐี เพราะว่ามีใจยินดีในการบริจาคทาน อยากจะได้ยินเสียงผู้คนอนาถาที่ยากจนส่งเสียงอึกทึกยามเมื่อท่านได้แจกจ่ายข้าวปลาอาหารที่ตั้งโรงทานเอาไว้ ท่านยินดีอย่างนั้น เมื่อได้ยินแล้วก็ปลื้มปีติใจ เศรษฐีสมัยก่อนเขาแข่งกันสร้างโรงทาน ใครทำโรงทานเป็นที่แจกจ่ายปัจจัยสี่ให้แก่คนยากจนได้มาก คนนั้นก็จะได้รับการยกย่องและก็ปีติยินดีทุกครั้งที่ทำ สุทัตตเศรษฐีทำอย่างนั้นตลอดมา จนกระทั่งวันหนึ่งบุญบันดาล ท่านมาเมืองราชคฤห์เพื่อเยี่ยมราชคฤห์เศรษฐีซึ่งท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นน้องเขยของราชคฤห์เศรษฐีเกิดในตระกูลเศรษฐีด้วย แต่งงานกับเศรษฐี เพราะฉะนั้นพวกพ้องก็เป็นเศรษฐีคุยกันแต่เรื่องทรัพย์ ไม่ได้คุยเรื่องอื่นเลย ราชคฤห์เศรษฐีมีบุญได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน ได้ฟังธรรมเกิดกุศลศรัทธาถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอริยสาวกตลอดมา วันนั้นราชคฤห์เศรษฐีเตรียมการรับเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอริยสาวก ได้สั่งให้ข้าทาสบริวารเตรียมวัตถุทานต่างๆ เพื่อที่จะถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังความแปลกใจให้เกิดขึ้นกับสุทัตตเศรษฐีว่า แต่ก่อนนี้เวลาเรามา เราจะได้รับการต้อนรับอย่างดีจากราชคฤห์เศรษฐีทุกครั้งไปในที่สุดเมื่อได้โอกาสก็ถามท่านราชคฤห์เศรษฐีว่า “วันนี้พระราชาเสด็จมาหรือใครมา ถึงจะต้องไปต้อนรับ สั่งข้าทาสบริวารต้อนรับอย่างดีเยี่ยม เตรียมอาหารหวานคาวที่ประณีตไว้คอยต้อนรับอย่างนั้นหรือ” ราชคฤห์เศรษฐีก็บอกว่า “ไม่ใช่หรอกผู้ที่เสด็จมาเป็นผู้ที่อุดมไปด้วยสิริคือพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จมาในวันนี้”สุทัตตเศรษฐีพอได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมา ก็เกิดปีติขนลุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพราะตลอดเวลาในใจของท่านนั้นอยากจะพบพระผู้มีพระภาคเจ้า คิดอยู่ในใจว่าอยากจะพบผู้บริสุทธิ์ ผู้หลุดพ้นแล้วที่จะแสดงธรรมให้เราได้รู้เห็นตามบ้างอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยมีใครมาส่งข่าวเมื่อราชคฤห์เศรษฐีได้พูดถึงว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแล้ว ท่านสุทัตตเศรษฐีต้องถามย้ำถึง ๓ ครั้ง ราชคฤห์เศรษฐีก็ตอบทั้ง ๓ ครั้งยืนยันว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแล้ว สุทัตตเศรษฐีปีติยินดีมากปรารถนาจะได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าในตอนนั้นซึ่งเป็นเวลากลางคืนพอดีตัวท่านก็พยายามเร่งเวลาเพื่อจะให้ถึงรุ่งเช้า คืนนั้นท่านไม่ได้หลับเลยคิดอยู่ตลอดเวลาว่า จะต้องเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ได้ จนนอนไม่หลับทั้งคืน ใจจดจ่อจนกระทั่งทนไม่ไหว ใกล้รุ่งก็รีบลุกจากที่เพื่อจะเดินไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ระหว่างนั้นอมนุษย์ก็เปิดทางให้ เปิดประตูให้ สุทัตตเศรษฐีเดินไปท่ามกลางความมืด เศรษฐีไม่เคยไปไหนเพียงลำพังปกติจะมีข้าทาสบริวารติดตามห้อมล้อมไปตลอด แต่คราวนี้ไปเพียงลำพังเดินอยู่ในความมืดก็เกิดความสะพรึงกลัวครั่นคร้าม แต่ด้วยความตั้งใจมั่นอมนุษย์ตนหนึ่งก็เปล่งเสียง แต่ไม่ปรากฏตัว สนับสนุนว่าให้เดินทางต่อไปเถิด การได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้าในคราวนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด แม้เราจะมีช้างสักหนึ่งแสน มีม้าสักหนึ่งแสน มีเทพีผู้มีรูปงามสักหนึ่งแสนคน อย่างละแสนอย่างนี้ แม้มีอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์เท่ากับการได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วแสงสว่างก็ปรากฏพอให้สุทัตตเศรษฐีเดินทางต่อไปได้เป็นอยู่อย่างนี้ถึง ๓ คราวทีเดียว คือเมื่อความมืดปรากฏความสะพรึงกลัวเกิดขึ้น ก็มีเสียงของอมนุษย์ผู้มีบุญนั้น คอยแนะนำเป็นกัลยาณมิตรให้กับสุทัตตเศรษฐีแล้วความสว่างก็เกิดขึ้นอย่างนี้

 

                   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอดพระญาณดูในยามใกล้รุ่งว่า ในวันนี้บุคคลใดจะเป็นผู้มีบุญที่จะรองรับพระธรรมของพระองค์ ทรงสอดพระญาณลงไปในกลางก็พบสุทัตตเศรษฐี มองดูตลอดก็ทรงเห็นว่าสุทัตตเศรษฐีนี้จะเป็นอุปัฏฐากที่สำคัญของเรา จะเป็นผู้เลิศทางอุปัฏฐากฝ่ายอุบาสกกำลังเดินทางมา เราจะต้องไปรับ ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จออกไปเดินจงกรมรออยู่บนเส้นทางนั้น เมื่อสุทัตตเศรษฐีกำลังรำพึงถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ พระองค์ก็ตรัสเรียกว่า “สุทัตตะ เราอยู่ตรงนี้ สุทัตตะเราอยู่ตรงนี้ สุทัตตะ เราอยู่ตรงนี้ มาหาเราเถอะ” สุทัตตเศรษฐีกำลังนึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็น แต่เมื่อมาได้ยินคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยเรียกชื่อ และยังรู้ความในใจ กล่าวเรียกว่า “เราอยู่ตรงนี้”เพราะคำว่าเราซึ่งหมายถึงพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ เป็นเพียงความคิดที่อยู่ในใจของสุทัตตเศรษฐีว่ากำลังจะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านก็มั่นใจว่านี่คือเสียงพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดปีติขนลุกชูชันทีเดียว ในที่สุดก็เข้าเฝ้าฟังธรรมต่อหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้บรรลุธรรมนั้นเกิดกุศลศรัทธาขึ้นมา และเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา

 

                   คนเรานี้เลือกเกิดได้ โอกาสที่เราจะเลือกเกิดนี้มีอยู่ตลอดเวลาขึ้นอยู่ว่าเราจะใช้โอกาสนั้นหรือไม่ ถ้าเราไม่ใช้โอกาสนั้น เวลาเรามาเกิดเป็นผู้มีฐานะยากจน เราจะได้ยินแต่ถ้อยคำปลอบใจว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ และก็ให้กำลังใจต่อ แต่เราเลือกเป็นได้ เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้เราได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้อีก ขณะนี้เรามีโอกาสเลือกเกิดได้ เมื่อขณะสมัยมาถึง ทักขิไณยบุคคลมีอยู่ พระพุทธศาสนามีอยู่ พระรัตนตรัยมีอยู่ เราซึ่งเป็นทายกทายิกามีความพร้อม มีวัตถุทาน มีศรัทธา จึงทำในตอนนี้ แล้วเราจะเลือกเกิดได้ ถ้าอยากเกิดเช่นเดียวกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีหรือมหาอุบาสิกาวิสาขา ซึ่งท่านเลือกลงมาเกิดในตระกูลเศรษฐีจงหมั่นบริจาคทาน และเมื่อสร้างมหาทานบารมีก็ควรจะทำกันอย่างเต็มที่แต่ถ้าจะเลือกเกิดแบบอดีตอานันทเศรษฐี ไปเป็นขอทานในหมู่ยาจก คนยากจนในหมู่ยาจก เป็นมหาทุคตะ ก็จงมีความตระหนี่หวงแหนเสียเถิดหวงแหนทรัพย์ด้วยตัวเอง ชักชวนคนอื่นให้หวงแหนตามไปด้วยแล้วจะสมความปรารถนาอย่างนั้น เพราะฉะนั้นในฐานะที่พวกเราทั้งหลายเป็นผู้มีสติปัญญา ก็ควรจะพิจารณาว่าเราจะเลือกเกิดเป็นอะไร ต่อจากนี้ไปให้ทุกท่านตั้งใจให้ดี ทำใจให้หยุด ทำใจให้นิ่ง ทำใจให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ให้เหมาะสมที่จะเป็นภาชนะรองรับบุญกุศล ให้ตั้งใจกันให้ดีทุกๆ คนกระแสธารแห่งบุญจะได้บังเกิดขึ้น นำชีวิตเราไปสู่เส้นทางมหาเศรษฐีผู้ใจบุญไปทุกภพทุกชาติกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไปให้ต่างคนต่างทำกันไปเงียบๆ จนกว่าจะถึงวาระอันควรทุกคนนะ

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.1252228140831 Mins