ทำบุญอย่างไรได้อานิสงส์มาก
โดย อุบาสิกาถวิล วัติรางกูล
ไปบอกบุญเรื่องสร้างพระธรรมกายประจำตัวกับญาติสนิทมิตรสหายแล้ว มักมาบ่นปรารภปัญหาหนึ่งให้ข้าพเจ้าฟังว่า “ชวนใครเขา เขาก็ชอบอ้างว่า วัดพระธรรมกายรวยแล้ว เขาอยากทำวัดจนๆ บ้าง” หรือถ้าเป็นคนต่างจังหวัด ก็จะพูดอ้างว่า “เรื่องอะไรจะต้องไปทำที่วัดพระธรรมกาย ทำที่จังหวัดที่เขาอาศัยอยู่นั้นก็ได้ เป็นบ้านของตัวเองด้วย ทำไมต้องไปสร้างให้ที่อื่น”
เมื่อเราคิดว่าเป็นงานส่วนรวม ต้องการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาให้ผู้คนหันมาสนใจปฏิบัติตามคำสอน เพื่อให้เกิดความสงบสุขร่มเย็นแก่โลกเป็นงานของโลก จึงต้องเป็นงานใหญ่ จะทำเพียงเรื่องเล็กๆ เราจะเรียกความสนใจของผู้คนได้อย่างไร เพราะความเจริญทางเทคโนโลยีด้านวัตถุสมัยนี้มีมาก ดึงดูดจิตใจผู้คนให้มัวเมาหลงใหลไปในเรื่อง รูป เสียง กลิ่นรส สัมผัส ไปจนหมดสิ้น ถ้าไม่คิดเอาหลักศาสนาถึงจิตใจผู้คนไว้บ้างแล้วในไม่ช้าโลกคงจะลุกเป็นไฟทั้งโลก
การลงทุนทำกิจการใดๆ ของคนในโลกที่เป็นงานใหญ่ๆ ใช้เงินลงทุนมากๆ ก็มีแต่คนรวยเท่านั้นที่สามารถทำได้ เมื่อเขาลงทุนไปก็ต้องคิดถึงประโยชน์ที่จะได้กลับคืนมา เขาจึงต้องลงทุนทำธุรกิจเหล่านั้นในย่านที่มีผู้คนจะมาใช้บริการนั้นๆ ให้มีจำนวนมาก เขาจึงจะได้กำไรมาก
มีบ้างไหมที่นักลงทุนจะไปสร้างศูนย์การค้าในถิ่นทุรกันดาร สร้างมหาวิทยาลัยในที่เดินทางไม่สะดวก สร้างโรงแรมในที่ที่ไม่มีผู้คนไปถึง ถ้าทำอย่างนั้นก็เป็นการลงทุนที่สูญเปล่า
งานสร้างศูนย์รวมใจชาวพุทธของเรา เป็นการลงทุนเพื่อผลประโยชน์พัฒนาจิตใจผู้คน เราก็จำเป็นต้องสร้างในที่ที่ผู้คนสามารถไปพบเห็นได้ง่าย สร้างให้ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ เพื่อให้คนคิดถึงปรารถนาจะเห็นเมื่อเห็นแล้ว ความศรัทธาก็จะเกิดศรัทธาเกิดใจก็ยอมรับในคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ง่ายขึ้น แล้วจึงลงมือปฏิบัติตาม
วัดพระธรรมกายมีคุณสมบัติเหมาะสมทุกประการ อยู่ในบริเวณศูนย์กลางของประเทศ การคมนาคมสะดวกมากที่สุด มีเนื้อที่กว้างขวางพอเพียง ข้อสำคัญมีหมู่คณะที่ร่วมใจกันสร้างบารมีเข้มแข็ง ไม่ใช่ทำเพียงคนสองคน แต่เราจะร่วมกันทำงานยิ่งใหญ่นี้เป็นล้านๆ คน
คิดดูซิว่า เมื่อการก่อสร้างสำเร็จลง ผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศจะหลั่งไหลมาชมและกราบไหว้มากมายแค่ไหน ปีละเป็นล้านๆ คนสิ่งก่อสร้างมั่นคงถาวรเป็นพันปี ผู้คนจะได้มีจิตใจดีงามนับเป็นพันๆ ล้านคน เห็นกำไรบุญอยู่ต่อหน้าในเวลาเพียงไม่เกิน ๒ ปี ยังไม่กล้าลงทุนอ้างโน่นอ้างนี้ น่าเสียดายนัก
เรื่องอ้างความรักท้องถิ่นก็ทำนองเดียวกัน ถ้าสร้างแค่ระดับจังหวัดสิ่งก่อสร้างจะมหัศจรรย์ได้อย่างไร ต่างคนต่างก็คิดคับแคบแค่บ้านของตน ก็จะได้ผู้คนที่มาร่วมงานจำนวนแค่คนที่นั่น ไม่ใช่ผู้คนทั้งโลกดังที่เรากำลังทำกันอยู่ คนน้อย เงินก็น้อย งานก็พลอยเล็กไปโดยปริยาย
อยากจะค้าขาย ก็ต้องตั้งร้านในย่านที่มีผู้คนมาซื้อมากๆ ไม่ใช่ตั้งร้านไกลผู้คน บางทีวันทั้งวันไม่มีคนมาซื้อสักคนเดียว สร้างพระพุทธรูปไว้ที่วัดห่างไกลผู้คน ปีหนึ่งบางทีคนมากราบไม่ถึง ๑๐ คนด้วยซ้ำไปแม้ว่าองค์พระจะมีขนาดใหญ่โตมหึมา ก็ได้บุญสู้องค์พระขนาดเล็กๆ แต่คงทนถาวรเป็นพันปี มีคนมากราบเป็นล้านๆ คน พระธรรมกายประจำตัวของผู้คนที่รวมกันอยู่เป็นล้านองค์นั้น ไม่ใช่ของหาดูได้ในโลกนี้ ถ้าไม่ใช่หมู่คณะของเราร่วมใจกันสร้างขึ้น ภาพนั้นก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น
ใครโต้แย้งมากนัก คนเหล่านั้นกั้นบุญตัวเขาเองไม่พอ ยังทำให้เราใจตกไปเสียเปล่า เชื่อไหม สำหรับคนเหล่านั้น แม้แต่จะฟังคำชี้แจงก็ใช่ว่าเขาจะเชื่อฟัง เขาก็ตะแบงเรื่องอื่นต่อไปอีก เพื่อตัดประโยชน์ตัวเองและคนอื่นไปเรื่อยๆจะไปสะท้อนใจเอาก็เมื่อเห็นเจดีย์สร้างเสร็จแล้วมีผู้คนมากราบไหว้ แต่ตนเองไม่มีความรู้สึกว่าได้มีส่วนร่วมในการสร้างนั่นแหละ
ตรงข้าม ใครที่ร่วมกันสร้างพระธรรมกายประจำตัว ซึ่งก็เท่ากับร่วมสร้างเจดีย์ด้วย มีชื่อและนามสกุลของตนสลักติดไว้ เห็นแล้วก็จะชื่นอกชื่นใจ นึกถึงบุญนี้ได้ไม่มีลืม ยังมีบุญแถมให้ลูกหลานคนในวงศ์ตระกูลของตนเองได้อนุโมทนาบุญด้วย เมื่อเห็นชื่อคนที่ตนรู้จัก เห็นนามสกุลเดียวกัน
ที่ข้าพเจ้าบ่นปัญหาที่พวกเราพบกันมา พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลโดยสังเขปนั้นเป็นหลักการใหญ่ของการก่อสร้าง แต่ถ้าพูดกับคนธรรมดาทั่วๆ ไปที่มีศรัทธาอยู่แล้ว เพียงแค่ชวนทำบุญอุทิศให้ญาติที่ล่วงลับ ก็เต็มใจทำ ยกเว้นบางรายที่มีมิจฉาทิฏฐิ ผีที่ต้องการส่วนกุศลจึงต้องแสดงตัวให้เห็นจึงยอมทำ
เรื่องนี้ คุณรัตติยา เป็นอาจารย์โรงเรียนสตรีอยู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ใกล้ๆ สี่แยกสะพานกรุงธนฯ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า “หนูมีพี่สาวอยู่คนหนึ่งเวลานี้ตายไปแล้ว เมื่อมีชีวิตอยู่บุญก็ไม่ใคร่ได้ทำ บาปก็ไม่ใคร่ได้ทำ พอตายไปได้ไปเข้าฝันคนรู้จักกันขอผ้าชุดขาว จะไปถือศีลที่เมืองผีโน่น คนฝันก็เอาผ้าขาวไปบริจาคทานให้แม่ชี คนตายก็มาเข้าฝันแต่งชุดขาว บอกว่าได้รับส่วนบุญแล้ว ทีนี้พอหนูกะลูกชายทำบุญสร้างพระธรรมกายประจำตัวกัน พี่สาวหนูก็มาเข้าฝัน คงจะอยากได้บุญสร้างพระมั่ง หนูก็ปรึกษาลูกชายว่า ลูกๆ ของคนตายมีตั้ง ๓ คน ให้เขาช่วยกันทำบุญให้แม่เขาก็น่าจะได้ เพราะมีอาชีพมีรายได้ดีกันทุกคน พอไปพูดกับลูกสาวของคนตาย เขาให้เงินทำบุญมาแค่พันเดียว แต่กะลูกชายอีกสองคนนั่น พูดโยกโย้ไม่ยอมทำ อ้างว่า ทำไปแล้วไม่รู้แม่จะได้รับรึเปล่า และพูดว่า “ถ้าแม่อยากได้บุญจริง ก็มาขอกะลูกเองซิ ทำไมต้องไปขอคนอื่น”
ลูกชายหนูขัดใจขึ้นมา จึงจุดธูปอธิษฐานบอกป้าของเขาที่ตายด้วยเสียงดังๆ ว่า “ป้า ป้า ผมไปขอเงินทำบุญลูกชายของป้าแล้ว เขาไม่ยอมให้ ขอให้ป้าไปบอกเขาเองด้วยนะ เพราะผมเองตอนนี้ก็ยังไม่มีเงิน ป้าอยากได้บุญเร็วๆ ป้าก็รีบบอกลูกป้าเร็วๆ” ลูกของหนูก็พูดไปยังงั้น พออีกไม่กี่วันลูกชายของป้าก็สั่งให้ไปรับเงินทำบุญ สามคนพี่น้องร่วมทำกันจนครบหมื่น สร้างพระธรรมกายประจำตัวอุทิศให้แม่ หนูสงสัยก็ถามถึงเหตุผลว่าทำไมยอมทำบุญกันขึ้นมาได้
หลานของหนูเขาก็เล่าให้ฟังว่า มีอยู่คืนหนึ่งเขาสองคนพี่น้องไปงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง กินเหล้ากันมาพอมึนๆ ขับรถกลับมาถึงบ้านพอเลี้ยวเข้าเขตประตูบ้าน แสงไฟหน้ารถกระทบกับภาพคนยืนขวางทางอยู่คนหนึ่งทั้งพี่ทั้งน้องหายเมาเป็นปลิดทิ้ง เพราะเห็นชัดๆ ว่าคนที่ยืนขวางอยู่นั้นคือแม่ของเขาเอง ภาพแม่ปรากฏให้เห็นอยู่ครู่ใหญ่จึงหายไป ทีนี้ก็พากันไปเล่าให้พี่สาวฟัง แล้วทั้งสามคนจึงเต็มใจทำบุญ”
เล่าจบแล้ว คนเล่าก็ถามข้าพเจ้าว่า “ผีมาปรากฏตัวให้เห็นด้วยตาอย่างนี้ แสดงว่าอยากได้บุญมากใช่มั้ยคะ” ข้าพเจ้าตอบเธอไปว่า “ก็มีแต่พวกมนุษย์นี่แหละไม่ใคร่รู้ค่าของบุญ อ้างโน่นอ้างนี้ ผัดผ่อนไปเรื่อยๆแต่พวกที่อยู่ในเมืองผีน่ะ (หมายถึงไปเกิดเป็นเปรตชนิดหนึ่งที่สามารถอนุโมทนาบุญที่มีผู้อุทิศให้ได้) รู้ค่าของบุญมาก เพราะที่นั่นจะทำมาหากินอะไรก็ไม่ได้ เมื่อเวลาเป็นมนุษย์อยู่ไม่ได้ทำบุญตักบาตรอะไรไว้ ตายไปก็อดอยาก ไม่ได้บริจาคเสื้อผ้าก็ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่ได้สร้างเสนาสนะ กุฏิวิหาร ศาลา สาธารณสถานอะไร ตายไปก็ไม่มีที่อยู่อาศัย ทำไมเขาจะไม่อยากได้บุญเล่า พี่สาวของหนูลงทุนมายืนหลอกลูกชายเลยทีเดียว ก็เพราะรู้อยู่ว่า สร้างองค์พระไว้ให้คนกราบไหว้นะบุญมากมายแค่ไหนเมื่อเห็นน้องสาวกับหลานใจบุญก็อุตส่าห์มาขอ แต่หลานชายเกิดไม่มีเงินพอจะทำให้ พูดให้ไปขอลูกชายตนเองอย่างนั้น ก็หมดหวังจากหลานเมื่ออยากได้บุญเต็มที่ก็ต้องแสดงฤทธิ์ปรากฏตัวให้ลูกเห็น จึงมีโอกาสได้บุญ ป้าอยากให้ผีออกมาอาละวาดยังงี้ให้มากๆ รายจัง คนจะได้ทำบุญกันมากเข้า ไม่ได้ทำบุญเพราะรู้ค่าของบุญ แต่ทำบุญเพราะกลัวผีก็ยังดีเพราะยังได้มีโอกาส ไม่งั้นก็ประมาทกันอยู่นั่นแล้ว”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเราบริจาคทรัพย์ทำทานไปแล้ว ควรตั้งเจตนาและกระทำจิตใจในทางที่ถูกที่สมควร เพื่อให้อานิสงส์เกิดให้มากที่สุด ไม่ใช่ทำทานไปปุ๊บ ก็อยากให้เกิดผลเป็นความมั่งคั่งร่ำรวยทันตาเห็นปั๊บ พอไม่ได้ดังใจหวังก็พาลโกรธ พาลน้อยใจ บางคนถึงกับพาลเลิกทำบุญไปเสียเลย ทำให้ชีวิตขาดทุนเปล่า อย่างนี้เรียกว่าตั้งเจตนาไว้ผิด
เจตนาที่ถูกต้องคือให้การทำทานเป็นเครื่องพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นเช่นเคยเป็นคนใจแคบใจจืดใจดำ ทานทำให้ใจกว้างมีเมตตาเห็นใจผู้อื่นเคยเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ก็กลับกลายเป็นโอบอ้อมอารีมีใจอ่อนโยนกรุณามุ่งหวังให้คุณภาพของใจสูงขึ้น นี้เป็นวัตถุประสงค์ถูกต้องแท้จริง
ส่วนเรื่องอานิสงส์ทางดีเกิดขึ้นเร็วทันตาเห็น จะเป็นได้โชคได้ลาภทำมาค้าขึ้น ครอบครัวร่มเย็นเป็นสุขขึ้นมา หรือพบเหตุการณ์ดีต่างๆ อื่นๆนั่นเป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลัก เหมือนเด็กขยันเรียนหนังสือ ย่อมมีความรู้กว้างขวาง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นความมุ่งหมายแท้จริง ส่วนการสอบได้คะแนนดี การเป็นที่รักของเพื่อนๆ ของครูอาจารย์ พ่อแม่พี่น้อง เป็นเรื่องผลพลอยได้ ให้เข้าใจถูกต้อง ใจจะได้ไม่สับสน
อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อทำทานไปแล้ว บุญที่เกิดขึ้นจะส่งผลเต็มที่ ถ้าเจ้าของทานตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดี ไม่ทำชั่วใดๆพร้อมกันไป เหมือนต้องการนำภาชนะเช่นกระป๋องไปตักน้ำ ก็ให้ใช้กระป๋องดีๆ ไม่แตกไม่รั่ว ใส่น้ำได้เต็มที่ ถ้าทำทานแล้วไม่รักษาศีลคือทำชั่วไปพร้อมกัน ก็เหมือนนำภาชนะรั่วๆ ไปตักน้ำ ได้มาก็รั่วหมด พอผลบุญจะเกิด บาปก็ตามมาทวง บุญก็หมดแรงให้ผล แล้วจะโทษว่าทำบุญไม่ได้บุญ ย่อมไม่ถูกต้อง นี้ก็เป็นความสำคัญที่ควรสังวรอีกประการหนึ่ง