เรื่องที่ ๓๒๒ดูดพิษคุณไสย
หมอแผนโบราณจับแขนและกดดูบริเวณที่ปวดบวม แล้วบอกว่า
"โดนคุณไสยที่เขาปล่อยมาตามลม คนมีเคราะห์จึงไปโดนเข้า"
คุณสมวงษ์ ทรัพย์นาค
เชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัยเป็นอย่างมาก |
คุณสมวงษ์ ทรัพย์นาค อยู่ที่แขวงคลองเตย เขตคลองเตย จังหวัดกรุงเทพฯ อายุ ๕๕ ปี เล่าว่า ได้มาที่วัดพระธรรมกายครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๔ เนื่องจากน้องชายชื่อ คุณปริญญา เขียวขาว ขณะนั้นกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้มาอบรมธรรมทายาทและอุปสมบทหมู่ในโครงการอบรมธรรมทายาทภาคฤดูร้อนระดับอุดมศึกษาที่วัดพระธรรมกาย ระหว่างที่น้องชายบวชอยู่ ก็ได้บอกบุญให้ญาติพี่น้องได้มาร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินที่ทางวัดจัดขึ้นด้วย หลังจากจบโครงการอบรมก็ยังได้พากันมาที่วัดเป็นประจำทุกวันอาทิตย์ต้นเดือน ไม่ว่าทางวัดจะมีงานบุญใหญ่อะไรก็ตาม ก็ได้ร่วมบุญมาโดยตลอดจนถึง ปี พ.ศ.๒๕๔๐
วันหนึ่งน้องชายมาบอกว่า เขาทำบุญสร้างองค์พระที่ยอดโดมมหาธรรมกายเจดีย์แล้ว และยังได้สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวภายนอกมหาธรรมกายเจดีย์ให้คุณพ่อกับคุณแม่อีกคนละ ๑ องค์ด้วยและถามคุณสมวงษ์ว่า พี่ได้สร้างแล้วหรือยัง พอได้ยินน้องชายถามอย่างนั้น ในใจก็นึกอนุโมทนาและคิดว่าอยากจะสร้างองค์พระบ้าง แต่ในขณะนั้นการเงินในบ้านยังไม่พร้อม ได้แต่อธิษฐานจิตว่าขอให้เก็บเงินได้สร้างองค์พระให้ตนเองสักองค์หนึ่งด้วยเถิด ซึ่งคุณสมวงษ์ก็เก็บเงินจนครบจำนวน ได้สร้างองค์พระสมตามความปรารถนาจริงๆ และเมื่อวันมาฆบูชาปี พ.ศ.๒๕๔๒ ก็ได้ทำบุญสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวภายนอกมหาธรรมกายเจดีย์อีก ๑ องค์ พร้อมกับชวนให้ลูกสาว ลูกเขย หลาน ได้มาสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวภายในอีกคนละ ๑ องค์ด้วย ทุกคนรู้สึกปลื้มปีติมาก โดยเฉพาะหลานคนเล็กได้บอกว่า "ถ้ายายมาวัด หนูก็จะมาวัดด้วย" และทางวัดก็ได้นัดให้มารับพระของขวัญในวันอาทิตย์ที่ ๔ เมษายน
ก่อนวันรับพระ ๑ วันคือวันเสาร์ที่ ๓ เมษายนนั้น คุณสมวงษ์ได้ไปร่วมงานฉลองแฟลตเปิดใหม่ ซึ่งในงานนี้มีร่างทรงมาทำพิธีและทำการรักษาคนเจ็บป่วย วันนั้นคุณสมวงษ์ก็ได้ร่วมบุญเลี้ยงพระด้วย และได้อยู่ช่วยเก็บงานจนเสร็จ จึงกลับบ้านพักผ่อน
พอประมาณ ๖ โมงเย็น อยู่ๆ ก็รู้สึกตัวร้อนคล้ายจะเป็นไข้ และรู้สึกปวดหัว จึงไปซื้อยามารับประทาน เพราะเกรงว่าวันรุ่งขึ้นจะมาวัดไม่ได้ พอรุ่งเช้าวันอาทิตย์ อาการไข้ก็ยังไม่หาย ซ้ำร้ายบริเวณแขนข้างซ้ายและบริเวณข้อศอก มีอาการปวด บวมและแดงมาก (แดงเหมือนถูกน้ำร้อนลวก) เมื่อมีอาการอย่างนั้นก็รู้สึกแปลกใจมากว่า แขนไม่ได้ไปโดนอะไร ไม่ได้ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย ไม่ได้ไปกระแทกกับอะไรแรงๆ เหตุใดจึงปวดและบวมขึ้นมาได้ แต่ถึงแม้คุณ สมวงษ์จะป่วย แต่ในวันนั้นคุณสมวงษ์ก็ยังพาตัวเองมาเอาบุญและ มารับพระมหาสิริราชธาตุที่วัดพร้อมกับน้องชายจนได้ และได้อดทนอยู่ร่วมพิธีจนเลิก หลังจากกลับจากวัดแล้วอาการต่างๆ ก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ก็พอทนได้เพราะได้รับประทานยาแก้ปวด
พอตกกลางคืนวันเดียวกันนั้น มีอาการไข้ขึ้นสูง และปวดแขนมาก วันรุ่งขึ้นจึงไปหาหมอ คุณหมอตรวจแล้ววินิจฉัยโรคว่า กล้ามเนื้ออักเสบ แล้วก็จัดยามาให้ และกำชับว่าห้ามยกของหนัก ให้พักผ่อนมากๆ อาการไข้จะได้หาย พอกินยาที่คุณหมอให้มา อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ตรงกันข้าม แขนยิ่งปวด ยิ่งบวม ยิ่งแดงมากกว่าเดิม โดยอาการปวดจะเลื่อนไปมาระหว่างใต้ท้องแขนด้านบนและใต้ข้อศอกด้านล่าง จึงได้ลองไปหาหมอแผนโบราณให้ช่วยดูอาการให้ แกจับแขนกดดูบริเวณที่ปวดบวม ลักษณะเป็นก้อนเนื้อแข็ง เสร็จแล้วก็บอกว่า โดนคุณไสยที่เขาปล่อยมาตามลม คนมีเคราะห์จึงไปโดนเข้า ต้องอาบน้ำมนต์ แต่ในตอนนั้นคุณสมวงษ์ยังมีอาการไข้อยู่ จึงอาบน้ำมนต์ไม่ได้ หมอจึงได้เสกปูนทา และเป่าที่แขนด้วยเหล้าขาวก่อน อาการปวดแขนก็เบาลงแต่ยังไม่หาย เอามือจับบริเวณที่ปวดบวมรู้สึกมีอาการร้อนมาก วันรุ่งขึ้นก็ให้หมอดูอาการอีก ก็ทำแบบเดิมคือเสกปูนทาและเป่าด้วยเหล้าขาว และพูดกับคุณสมวงษ์ว่า "ยังดีนะที่โดนที่แขน ถ้าไปโดนที่ท้องหรือที่หน้าอก จะทำให้จุกแน่น หายใจไม่ออก หากรักษาไม่ทันอาจถึงตายได้" พอคุณสมวงษ์ฟังแล้วก็รู้สึกใจไม่ดีเลย จึงนึกถึงบุญที่ได้สร้างองค์พระไว้ทั้งภายในและภายนอก มหาธรรมกายเจดีย์ และนึกถึงอานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุ ในวันนั้นก็ได้อาราธนาท่านทำน้ำมนต์ โดยนำองค์พระแช่ลงในน้ำ สวดสรรเสริญท่าน ๓ จบ และอธิษฐานจิตว่า "ขออานุภาพของท่านช่วยปัดเป่าความเจ็บปวดที่แขนให้หายเป็นอัศจรรย์ด้วยเถิด" เสร็จแล้วก็นำน้ำมนต์มาดื่มและทาบริเวณแขนที่ปวดบวม จากนั้นก็สวดสรรเสริญท่านอีกครั้งและอธิษฐานจิตซ้ำลงไปว่า "ขอให้เทพเทวาที่รักษาองค์พระช่วยดูดพิษร้อนที่ทำให้ปวดและบวมให้ หายอย่างอัศจรรย์ด้วยเถิด" แล้วนำองค์พระมหาสิริราชธาตุมาประคบบริเวณที่ปวด เป็นที่น่าแปลกใจมาก พอนำองค์พระมาประคบบริเวณที่ปวดนั้น ความร้อนวิ่งผ่านองค์พระมาถึงมือที่จับองค์พระอยู่เลยทีเดียว ก็ยิ่งรู้สึกเชื่อมั่นในอานุภาพขององค์พระมากขึ้น จึงประคบองค์พระไว้ที่แขนตลอดและสวดสรรเสริญท่านอีก ๓ จบ แล้วเอนตัวลงนอนพร้อมกับภาวนา สัมมา อะระหังไปเรื่อยๆ จนหลับไป
เรื่องการทรงเจ้าเข้าผี และคุณไสยต่างๆ มีทั้งเรื่องจริงและเรื่องปลอม ถ้าเป็นเรื่องจริงก็เป็นเรื่องของอำนาจมิจฉาสมาธิ ไม่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างบุญกุศลด้วยการมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ซึ่งจะใช้สัมมาสมาธิเป็นเรื่องหนึ่งในการบำเพ็ญคุณงามความดี ไม่สนใจมิจฉาสมาธิ
คนที่ชอบเอาผีเอาเจ้า (ซึ่งบางทีก็เป็นเพียงเปรตหรือภุมมเทวาประเภทหนึ่ง ที่แย่กว่านั้นก็เป็นพวกอสุรกายชอบกินของเซ่น) มาเป็นที่พึ่ง ผีก็ชอบหลอก ชอบขู่ ทำให้ตกใจ ขวัญเสีย จิตใจอ่อนแอ พลอยให้เกิดเรื่องร้ายๆ ตามมา
ทางที่ดี เมื่อยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งแล้ว ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวเรื่องผีเป็นอันขาด รู้ว่าที่ใดสนใจเรื่องทำนองนี้ ไม่ควรไปเกี่ยวข้องใกล้ชิด