เรื่องที่ ๓๒๙อะไรอยู่ในดวงตา
เห็นเป็นเส้นควันขาวๆ ลอยไปมาในดวงตา ขออย่าให้ดวงตาเป็นอะไรเลย
ด.ญ.พิมพ์วดี
ผู้เล่าเรื่องของคุณยายที่ได้พบอานุภาพอย่างอัศจรรย์ |
คุณเปรมสุข พาณิชยการ อาชีพรับซักอบรีดเสื้อผ้า อยู่ที่ หมู่บ้านกฤษดานคร ถนนแจ้งวัฒนะ เล่าว่าเมื่อประมาณกลางเดือนตุลาคม ปี พ.ศ.๒๕๔๑ คุณเปรมสุขกำลังทำงานตามปกติ จำได้ว่าวันที่ เริ่มเกิดอาการนั้นเป็นวันพุธ ในช่วงเช้าคุณเปรมสุขกำลัง ซักผ้าของลูกค้า พอตกช่วงบ่าย ก็จะรีดผ้า ในขณะที่ทำงานรีดผ้าอยู่นั้นก็มีความรู้สึกว่า มีความระคายเคืองในตา เวลามองอะไรก็จะมีจุดดำๆ มืด ๆ เป็นดวงกลมๆ เล็กๆ หลายจุดกลิ้งไปกลิ้งมา รวมทั้งยังเห็นควันเป็นเส้นขาวๆ ลอยไปมาในดวงตาข้างขวาตลอดเวลาน่ารำคาญมาก ในตอนนั้นคิดว่าคงไม่เป็นอะไรมาก คงจะมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงตา จึงลองไปล้างหน้าดู ปรากฏว่าก็ไม่หายยังมีอาการเหมือนเดิม จึงเลิกทำงานแล้วนอนพักผ่อน พอตื่นขึ้นมาเช้าวันพฤหัสบดี อาการเริ่มดีขึ้นนิดหน่อย แต่ก็ยังมีอาการเหมือนเดิม คือมีจุดดำๆ มืดๆ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่เหมือนเดิม คุณเปรมสุขเริ่มใจเสียไม่รู้จะทำอย่างไรดี ในใจก็คิดถึงแต่พระมหาสิริราชธาตุ ทั้งๆ ที่ขณะนั้นยังไม่ได้รับพระ มีแต่เพียงรูปภาพพระมหาสิริราชธาตุ จึงทำสมาธิและตั้งจิตอธิษฐานตลอดเวลาที่ทำงานว่า ขออย่าให้ดวงตาเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลย พอตกช่วงเย็นมีปฏิบัติธรรมที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมแก้วบงกช เป็นบ้านของ อาจารย์ดวง บงกชเกตุสกุล ซึ่งคุณเปรมสุขไปปฏิบัติธรรมที่นี่เป็นประจำ ระหว่างทางก็คิดในใจและตั้งจิตอธิษฐานว่า "ขอให้ได้รับพระมหาสิริราชธาตุองค์จริงในวันนี้ด้วยเถิด" พอไปถึง เมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป ก็พบอาจารย์ดวงและอาจารย์ดวงก็ส่งพระมหาสิริราชธาตุใส่มือให้ทันที ตอนนั้นเธอรู้สึกดีใจและแปลกใจมาก คิดว่าพระมหาสิริราชธาตุศักดิ์สิทธิ์จริงๆ อธิษฐานได้ดั่งใจ พอถึงช่วงที่นั่งปฏิบัติธรรมก็อธิษฐานว่า "ขออานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหาสิริราชธาตุจงช่วยลูกด้วยเถิด อย่าให้ดวงตาลูกเป็นอะไรมากเลย เงินทองช่วงนี้ลูกก็ไม่ค่อยมี ลูกรู้ว่าค่ารักษาตาต้องแพงมาก ขอให้ช่วยลูกได้หมอรักษาตาดีๆ ด้วย" นั่งไปก็อธิษฐานไปตลอดจนถึงเวลาเลิก และได้ปรึกษากับเพื่อนๆ ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรม เพื่อนก็แนะนำว่าควรไปหาหมอตรวจดูว่าเป็นอะไรมากหรือไม่ พอวันศุกร์ตอนเช้าประมาณ ๖.๐๐ น. คุณเปรมสุขได้ไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ซึ่งตามปกติคุณเปรมสุขจะเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งนี้อยู่แล้วจึงไม่ต้องทำบัตรคนไข้ใหม่ แต่พยาบาลที่จัดคิวคนไข้ในวันนั้นบอกว่า คิวเต็มหมดแล้วต้องมาวันจันทร์ เธอรู้สึกใจเสียมากเพราะกลัวว่าตาจะบอด คุณเปรมสุขบอกว่า
"พอได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มนึกอธิษฐานกับพระมหาสิริราชธาตุทันทีว่าขอให้ได้คิวตรวจตาด้วยเถิด เป็นคนสุดท้ายก็ยังดี" พออธิษฐานเสร็จ พยาบาลเห็นเธอทำสีหน้าไม่ดีก็เลยสอบถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ก็โทรศัพท์ถามอาจารย์หมอพรชัย สิมะโรจน์ ซึ่งท่านเป็นจักษุแพทย์ทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนนักเรียนแพทย์อยู่ด้วย คุณหมอให้ดิฉันอยู่รอตรวจอาการก่อน พอตรวจอาการโดยเครื่องตรวจจอตา คุณหมอพรชัยท่านบอกกับนักศึกษาแพทย์หลายสิบคนว่า "มีงานใหญ่ที่ต้องทำแล้ว เป็นคนไข้กรณีพิเศษ เพราะว่าคนไข้เป็นแผลในจอตาและเยื่อจอตาทะลุ ถ้ามาช้าอีกวันเดียวน้ำหล่อเลี้ยงตาจะไหลเข้าจอตา น้ำหล่อเลี้ยงดวงตาที่ว่านี้จะอยู่ระหว่างเยื่อตาขาวกับจอตาดำที่เป็นกระจกเลนส์ตามีหน้าที่หล่อเลี้ยงไม่ให้จอตาแห้ง และผลจากการที่น้ำหล่อเลี้ยงไหลเข้าจอตานี้จะมีผลทำให้จอตาหลุดและตาต้องบอดสนิทเพราะไม่มีเลนส์แก้วตา"
คุณหมอพรชัยบอกกับคุณเปรมสุขว่าต้องอยู่ฉายเลเซอร์ที่ดวงตาเพื่อรักษาแผลก่อน คุณเปรมสุขถามคุณหมอว่า ค่ารักษานั้นประมาณเท่าไร เพราะในขณะนั้นมีเงินอยู่เพียงพันกว่าบาท คุณหมอ บอกว่าประมาณสองพันถึงสามพันบาท และก็ถามต่อว่าพอจะหาที่ไหน ได้บ้างไหม ตอนนั้นก็คิดว่า จะโทรศัพท์ไปขอยืมเงินพี่ชายก่อน คุณหมอพรชัยบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวให้ไปทำเลเซอร์ตาก่อน กลุ่มนักศึกษาแพทย์ ก็รุมล้อมคุณเปรมสุขและอาจารย์หมอ พรชัย เพื่อดูวิธีการรักษาด้วยเลเซอร์ หลังจากที่ใช้เลเซอร์แล้ว ก็ต้องหยอดยาที่ตาทั้งสองข้าง ตอนนั้นดวงตามองอะไรไม่เห็นเลย ตาพร่ามัวไปหมด ซึ่งอาการนี้คุณหมอบอกว่า เป็นอาการปกติของผู้ที่ทำการหยอดยารักษา คุณหมอก็ให้ไปรับยาที่เคาน์เตอร์ตามที่คุณหมอได้เขียนใบสั่งยาไว้ โดยมีนักศึกษาแพทย์เดินตามมาด้วย ตอนนั้นเธอคิดว่าถ้าเงินไม่พอก็คงต้องโทรศัพท์ไปหาพี่ชายให้เอาเงินมาให้ ระหว่างที่เดินไปรับ ยาก็อธิษฐานว่า "พระมหาสิริราชธาตุช่วยลูกด้วยขอให้เงินที่ลูกนำมาด้วยนี้เพียงพอกับค่ารักษาด้วยเถิด" แต่ใจหนึ่งก็แย้งขึ้นมาว่าจะเป็น ไปได้อย่างไร เพราะค่ารักษาตาตามที่รู้มาราคาแพงมาก พอรับยาเสร็จก็สอบถามพยาบาลที่จ่ายยาให้ว่าค่ารักษาเท่าไร พยาบาลบอกว่าไม่ต้องเสียเงินค่ารักษาเพราะอาจารย์หมอพรชัย สิมะโรจน์ รับคุณเปรมสุขเป็นคนไข้ของคุณหมอเอง และนัดว่าอีก ๓ เดือน ต้องมาตรวจดูอาการของดวงตาใหม่ ให้กลับบ้านได้เลย นักศึกษาแพทย์ได้มาส่งเธอขึ้นแท็กซี่กลับบ้าน และบอกว่าขอให้หายเร็วๆ คุณเปรมสุขบอกว่า "ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของคุณหมอพรชัยมาก ที่ท่านมีความเมตตากรุณามากเพียงนี้ และก็สวดมนต์สรรเสริญคุณพระมหาสิริราชธาตุตลอดทางที่กลับบ้าน ขณะนี้ดวงตาของดิฉันหายเป็นปกติแล้ว สามารถทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ดิฉันขอขอบพระคุณ อาจารย์หมอพรชัย สิมะโรจน์ ผ่านหนังสืออานุภาพพระมหาสิริราชธาตุเล่มนี้ด้วยค่ะ ขอให้อานุภาพพระมหาสิริราชธาตุจงคุ้มครองคุณหมอตลอดเวลาและให้คุณหมอมีสุขภาพแข็งแรง เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานตลอดไป และดิฉันขออนุโมทนาบุญกับผู้อ่านทุกท่านและจงเชื่อมั่นเถอะค่ะว่า อานุภาพของพระมหาสิริราชธาตุนั้นมีจริงและศักดิ์สิทธิ์มากจริงๆ"
คุณเปรมสุขทำอาชีพรับ ซัก อบ รีด ผ้า ซึ่งก็ต้องสัมผัสกับ พวกน้ำยาเคมี น้ำยาซักผ้า น้ำยารีดผ้า เหล่านี้เป็นต้น เวลารีดไอน้ำก็ฟุ้งเข้าหน้าและดวงตา เมื่อดวงตาสัมผัสสิ่งเหล่านี้่บ่อยๆ อาจมีอันตรายดังที่เล่ามา โชคดีที่ได้รับพระของขวัญพระมหาสิริราชธาตุมาทันก่อนไปโรงพยาบาล ทำให้มีที่พึ่งให้อุ่นใจ และก็พึ่งได้จริงๆ เหมือนเทพยดาที่ดูแลองค์พระรับทราบและช่วยให้พยาบาลเห็นหน้าคนป่วยแล้วนึกเมตตา ถามไถ่อาการ และยังเมตตาโทรศัพท์ถามคุณหมอพรชัยให้ด้วย
คุณหมอก็ยิ่งมีน้ำใจประเสริฐล้นเหลือ ฟังอาการแล้วคาดว่ามีอาการน่าเป็นห่วง บอกให้คอย และก็ตรวจพบว่าต้องรักษารีบด่วนจริงๆ มิฉะนั้นอาจถึงกับตาบอดสนิท
เมื่อทราบว่าคนไข้มีเงินมาไม่พอค่ารักษา คุณหมอก็รักษาให้ฟรี ใครอ่านเรื่องนี้แล้วก็คงต้องซาบซึ้งน้ำใจของจักษุแพทย์ท่านนี้ เข้าใจว่าท่านคงทำอย่างนี้เป็นอุปนิสัย เป็นที่น่าชื่นชม
ในโลกทุกวันนี้ สังคมค่อนข้างจะวิปริต ผู้คนกลับติติงคนทำความดี เห็นคนทำชั่วเป็นวีรชน ซึ่งหากพวกเราไม่ช่วยกันยับยั้งโดยรู้คุณและประกาศคุณของผู้ทำความดีให้มากๆ แล้ว อีกหน่อยคนทำดีย่อมรู้สึกท้อแท้ท้อถอย ไม่รู้ว่าจะทำความดีไปทำไม เมื่อถึงเวลานั้น สังคมจะต้องเต็มไปด้วยคนเลวๆ ความเดือดร้อนคงเกิดทุกหย่อมหญ้า
ดังนั้น เมื่อผู้ใดพบใครทำความดีที่น่ายกย่อง จึงควรเล่ากล่าวให้ผู้อื่นทราบทั่วกัน ดังที่คุณเปรมสุขกระทำนี้ถูกต้องแล้ว