บารมีที่ค้ำจุนโลก

วันที่ 05 กพ. พ.ศ.2559

บารมีที่ค้ำจุนโลก

              สาเหตุที่ตรัสชาดก ครั้งหนึ่งมีภิกษุหนุ่มสองสหายเดินทางมาเข้าเฝ้าพระทศพล ระหว่างทางเกิดทะเลาะกัน ภิกษุรูปหนึ่งมีที่กรองน้ำ ไม่ให้อีกรูปยืมใช้ส่วนภิกษุอีกรูปไม่อาจอดกลั้นความกระหายจึงดื่มน้ำที่มิได้กรอง ภิกษุทั้งสองนั้นมาถึงพระวิหารเชตวัน ถวายบังคมพระไตรโลกนาถ พระทศพลทรงทำปฏิสันถารแล้วตรัสถามว่า พวกเธอเป็นผู้สมัครสมานกันมาแล้วหรือ เมื่อภิกษุทั้งสองทูลเรื่องให้ทรงทราบ พระองค์ทรงติเตียนการดื่มน้ำที่มิได้กรองตัวสัตว์ แล้วตรัสถึงบัณฑิตทั้งหลายในปางก่อนว่าได้สละยศใหญ่เพื่อให้ชีวิตแก่สัตว์ ทรงนำอดีตมาดังนี้..

 

           ในอดีต ณ ดาวดึงส์สรวงสวรรค์ กาลนั้นอสูรทั้งหลายทำตัวเสเพล เกเรในหมู่เทพสวรรค์ท้าวสักกเทวราชจึงให้จับพวกอสูรที่เมามายสลบไสลไร้สติโยนลงไปที่เชิงเขาสิเนรุโดยพลัน พวกอสูรร่างเมาฟื้นขึ้นมายังนึกว่าอยู่บนสวรรค์ดังเดิม จนฤดูกาลผันผ่าน พวกอสูรพากันมาดูต้นปาริฉัตรออกดอกประจำปี แต่ต้นไม้ที่พวกตนมารอดูกลับออกเป็นดอกแคฝอย จอมอสูรพลันตาสว่างทันทีรู้ว่าที่นี่มิใช่เทวโลกเสียแล้ว ชะรอยเจ้าท้าวสักกะจะโยนเราลงมาตอนเราเมาแล้วยึดเทพนครไว้ผู้เดียว"ไปกันเถอะพวกเรา! ไปรบกับเจ้าท้าวสักกะกัน" จอมอสูรกล่าวอย่างโกรธแค้น

 

            เทพอสูรเรียกรวมพลเป็นการด่วน กองทัพอสูรดาหน้าพากันเหาะขึ้นเขาสิเนรุเป็นทิวแถวยาวเหยียดราวมดแดงไต่เสา ท้าวสักกะได้ข่าวจากหน่วยสอดแนมจึงรีบนำทัพเหาะไปรบต้านสกัดพวกอสูรมิให้ขึ้นไปถึงดาวดึงส์ได้ พวกอสูรมีฤทธิ์มิใช่น้อยไล่ล่าท้าวสักกะอย่างสนุกมือจนพระองค์ต้องล่าถอยไปจนสุดสมุทรสาคร มาตลีเทพบุตรควบเวชยันตรถของท้าวสักกะด้วยความเร็วสูงสุด ตะลุยเข้าเขตป่าไม้งิ้ว ทำลายไม้งิ้วราบเป็นหน้ากลอง ลูกนกครุฑพลัดตกลงมาพากันร้องเสียงขรม ..
"เฮ้ย! นั่นมันเสียงอะไรกันหน่ะ" ท้าวสักกะถามเทพสารถี
"เสียงลูกนกครุฑร้อง พระเจ้าข้า โอ้! ช่างน่ากรุณาจริงๆ" เทพมาตลีทูล


ท้าวสักกะสลดใจรีบรับสั่งให้หยุดรถ ตรัสว่า..
"มาตลีผู้สหาย! ลูกนกครุฑเหล่านี้ต้องมาลำบากเพราะเรา มันอาจตายได้ เพื่อรักษาชีวิตพวกลูกครุฑเหล่านี้เอาไว้ เราจะสละชีวิตให้แก่พวกอสูรมัน ท่านจงกลับรถโดยเร็วเถิด"


เทพมาตลีกลับรถหันหน้ามุ่งลุยฝ่ากลับไปยังเทวโลก พวกอสูรเห็นท้าวสักกะกลับรถพุ่งฝ่าเข้ามาทำท่าจะสู้ตาย เกิดตกใจกลัวกันหมดว่า..
"เห็นทีท้าวสักกะจากจักรวาลอื่นจะพากันระดมพลมาช่วยเป็นแน่แล้ว จึงหาญกล้ากลับรถมาลุยโดยตรงเยี่ยงนี้ เฮ้ย! พวกเรารีบถอยด่วน" จอมอสูรรนรานกล่าว

 

            กองทัพอสูรพากันหนีหัวซุกหัวซุน ท้าวสักกะเสด็จกลับเทพนครโดยสวัสดี เวลานั้นเองเวชยันตปราสาทสูงพันโยชน์ได้ชำแรกปฐพีผุดขึ้นฉลองชัยชนะอันขาวสะอาดของพระองค์ จากนั้นมาท้าวสักกะทรงตั้งทัพอารักขาภพดาวดึงส์ไว้ 5 ชุดคือทัพนาค ทัพครุฑ ทัพกุมภัณฑ์ ทัพยักษ์ และท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นด่านสุดท้ายก่อนมาถึงตัวพระองค์ในเวชยันตปราสาท

            แต่นั้นมา เหล่าอสูรก็ขึ้นมาท้ารบอยู่ทุกๆ ปีที่เห็นดอกแคฝอยผลิบาน เป็นแคฝอยประทับรอยแค้น! แต่ดีที่สุดยังคงเป็นเรื่องท้าวสักกะทรงยอมสละชีวิตและทิพยสมบัติทั้งปวง เพียงเพื่อช่วยชีวิตลูกนกโดยไม่ลังเล..

"แสวงหาสุขตน บนทุกข์คนอื่นปลายทางขมขื่น ชื่นสุขไม่มี"

 

ประชุมชาดก
             พระศาสดาตรัสว่า บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อนถึงจะสละชีวิตของตนก็ไม่ทำปาณาติบาตแล้วทรงประชุมชาดกว่า มาตลีสารถีมาเป็นพระอานนท์ ท้าวสักกะมาเป็นตถาคตแล


             จากชาดกเรื่องนี้ ท้าวสักกะแม้มีอำนาจศักดิ์ใหญ่ ก็ไม่คิดทำลายชีวิตผู้อื่น มีใจอ่อนโยน ไม่คิดว่าชีวิตตนมีค่ากว่าชีวิตผู้อื่น แล้วหาสุขใส่ตนโดยเบียดเบียนสุขผู้อื่นสัตว์ทั้งหลายจึงได้รับการค้ำจุนทั่วถึงกันด้วยอำนาจเมตตาธรรม


              เรื่องการยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุขนั้น มีตัวอย่างดังปฏิปทาแห่งความเมตตาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ (สด จนฺท สโร) ในสมัยที่มีคนมาถามท่านว่าทำไมหลวงพ่อไม่สร้างที่อยู่ให้มันดีบ้าง ท่านได้ตอบไปว่า เราให้เขามีความสุขก็พอใจแล้ว เราจะอยู่ยังไงก็อยู่ได้ จะกินยังไงก็กินได้ ให้เขามีความสุขก็แล้วกัน เขามาอยู่กับเราต้องให้ความสุขแก่เขา อย่าให้เขาเดือดร้อน ให้ได้รับความร่มเย็น โรงเรียนมี ครูมี อยากเรียนๆ เลย ใครอยากบิณฑบาตก็ไป ใครไม่ไปก็มีข้าวให้ฉัน ไม่ให้อดไม่ให้อยาก

 

    "นิสัยปรารถนาดี ไม่คิดร้าย, มีใจอ่อนโยน, มั่นคงอยู่ในความไม่เบียดเบียน, ไม่หยาบคาย,
มีน้ำใจเกื้อกูล และไม่หาความสุขโดยผู้อื่นต้องมาเดือดร้อน" ทั้งหมดนี้จึงนับเป็นนิสัยในวิถีนักสร้าง
บารมีที่นับเนื่องเข้าในเมตตาบารมี

-----------------------------------------------

SB 405 ชาดก วิถีนักสร้างบารมี

กลุ่มวิชาพุทธวิธีในการพัฒนานิสัย


 

 ยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคล Total Execution Time: 0.0013221661249797 Mins